วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2551

หลักการเขียนเอกสารอ้างอิง..

เห็นเพื่อนๆหลายคนมาถามเรื่องหลักการเขียนเอกสารอ้างอิงค่ะ

อันตัวเราก็ไม่แน่ใจเลยต้องหาข้อมูลดู

วันนี้เอามาแบ่งปันเจ้าค่ะ

มาดูหลักการเขียนเอกสารอ้างอิงกันที่นี่เน้อ..

ความสุขอยู่ที่ใด

ธรรมดา
ฉันไม่มีความสุข...

ฉันไม่ชอบงานที่ฉันทำ เพราะมันน่าเบื่อและไม่มีที่สิ้นสุด

ฉันไม่ชอบเจ้านาย เพราะเขาไม่เคยคิดหรือทำอะไรเองนอกจากชี้นิ้วสั่งกับดุด่าฉันเท่านั้น

ฉันไม่ชอบเช้าวันจันทร์ เพราะเป็นวันที่ฉันรู้สึกเหมือนถูกบังคับให้ตื่นขึ้นมาเผชิญโลกที่โหดร้าย แต่ละสัปดาห์ของการทำงานดูราวกับการคืบคลานไปท่ามกลางสนามรบ

ฉันไม่ชอบเช้าวันอังคาร เพราะเป็นวันที่ฉันรู้สึกว่าตัวเองเพิ่งทำงานไปได้วันเดียวยังมีอีกหลายวันที่โหดร้ายรออยู่

ฉันไม่ชอบเช้าวันพุธ เพราะเป็นวันที่ฉันเริ่มตื่นขึ้นมาพร้อมกับความล้าและพบว่าเวลาเพิ่งผ่านไปเพียงครึ่งทางเท่านั้น

ฉันไม่ชอบเช้าวันพฤหัสบดี เพราะเป็นวันที่ฉันเหนื่อยล้าจากการทำงานมาตลอดหลายวัน แต่ทุกอย่างก็ยังคงดำเนินต่อไป พรุ่งนี้ก็ยังต้องทำงาน

ฉันไม่ชอบเช้าวันศุกร์ เพราะฉันเหนื่อยจนแทบลุกจากเตียงไม่ไหวแล้วแต่ก็ยังต้องลุกไปทำงาน

ฉันไม่ชอบเช้าวันเสาร์ เพราะฉันอยากตื่นสายๆ แต่กลับมีเด็กบ้านใกล้ๆวิ่งเล่นเสียงดังจนต้องตื่นแต่เช้า

ฉันไม่ชอบเช้าวันอาทิตย์ เพราะฉันจะถูกปลุกแต่เช้าเช่นกันด้วยเสียงเครื่องดูดฝุ่นกับเสียงตัดต้นไม้ และเครื่องตัดหญ้าชองเพื่อนบ้าน

ฉันไม่ชอบวันหยุดนักขัตฤกษ์ เพราะมันทำให้ร้านรวงในกรุงเทพฯปิด จะซื้อหาอะไรก็ยาก จะออกไปต่างจังหวัดคนก็มาก ฉันเคยเห็นรถติดบนยอดเขาห่างไกลในวันสิ้นปีมาแล้ว

ฉันไม่ชอบรถติด เพราะมันทำให้ฉันถึงที่ทำงานช้า

ฉันไม่ชอบรถเมล์ เพราะฉันต้องยืนเบียดกับคนแปลกหน้าและร้อนอบอ้าว

ฉันไม่ชอบบ้านเช่าที่ฉันอยู่ เพราะมันคับแคบแออัด เปิดหน้าต่างออกไปเห็นแต่ตึกบังท้องฟ้า

ฉันไม่ชอบบ้านเดิมที่ต่างจังหวัด เพราะมันห่างไกลมากและมีแต่ความกันดาร

ฉันไม่ชอบนิยายน้ำเน่า เพราะมันไม่เคยให้แง่คิดหรือช่วยพัฒนาจิตใจของเราให้ดีขึ้นเลย

ฉันไม่ชอบหน้าร้อน เพราะมันทำให้ฉันรู้สึกอบอ้าวและหงุดหงิดทั้งวัน

ฉันไม่ชอบหน้าฝน เพราะมันทำให้ฉันเปียกแฉะ เดินทางลำบาก ตากผ้าก็ไม่แห้ง

ฉันไม่ชอบหน้าหนาว เพราะมันทำให้ฉันเป็นหวัดและไม่มีชีวิตชีวา

ฉันไม่ชอบมหาวิทยาลัยที่ฉันเรียนจบมา เพราะมันไม่ค่อยมีชื่อเสียง ทำให้ฉันหางานทำลำบาก

ฉันไม่ชอบคนรักของฉัน เพราะเขาเป็นคนขวานผ่าซาก ไม่โรแมนติก ไม่เอาอกเอาใจฉันเลย

ฉันไม่ชอบกรุงเทพ เพราะที่นี่มีแต่ความเบียดเสียด ทุกอย่างเร่งรีบและดิ้นรนผู้คนเห็นแก่ตัว

ฉันไม่มีความสุข... ........... ความสุขอยู่ที่ไหนกัน...

.......................................................................................................................

วันหนึ่งฉันยืนอยู่ที่ป้ายรถเมล์ แม่ลูกคู่หนึ่งนั่งรอรถอยู่ใกล้ๆ ผ่านไปสักพักอยู่ๆลูกชายวัยซนของหญิงคนนั้นก็ชี้นิ้วขึ้นไปบนท้องฟ้าและบอก กับแม่ “แม่หมาอยู่บนฟ้า”

“ไหนลูก” แม่ขมวดคิ้วแล้วโน้มตัวมองตามลูก “อ๋อ เมฆน่ะเหรอลูก ดูเป็นหมายังไงนะ”

“นี่ไงแม่ ตรงที่ยื่นๆออกมานี่เป็นหัวหมา นี่หูมัน มีขาหน้าด้วย”

“แล้วขาหลังล่ะลูกไม่เห็นมีเลย”

“มันกระโดดออกจากปุยนุ่น ขาหลังมันเลยจมในปุยนุ่น” เด็กชายว่า

ฉันหันไปมองเมฆก้อนนั้นตามด้วนความอยากรู้อยากเห็นแล้วก็ต้องขมวดคิ้วมัน เป็นแค่ก้อนเมฆสีขาวไร้รูปทรงธรรมดารูปหนึ่งเท่านั้นเอง ไม่ได้มีความเหมือนกับหมาตรงไหนเลย ฉันยักไหล่แล้วหันไปชะเง้อมองรถเมล์บนถนนตามเดิม เสียเวลาฟังเจ้าเด็กฟุ้งซ่านจริงๆ

“เหรอ...แต่แม่ว่ามันดูเหมือนกับยีราฟนะลูก เห็นมั้ย คอมันยาวเป็นยีราฟเลย หูชี้ด้วย”

“ไม่ใช่นะแม่ ยังเป็นหมาอยู่ หมาคอยาวๆโอ๊ยๆๆทำไมขามันหายไปแล้วล่ะ”

“ข้างบนลมคงพัดแรงน่ะลูก เมฆมันเป็นแค่ไอน้ำที่ลอยในอากาศและจับตัวกันเป็นก้อน พอลมพัดมันก็เปลี่ยนรูปร่างเหมือนกันตอนที่ลูกเป่าควันในชามก๋วยเตี๋ยวร้อนๆ ไงจ๊ะ”

ฉันเงยหน้ามองก้อนเมฆไอน้ำสีขาวบนทั้งฟ้าอีกครั้ง ฉันมองอย่างไรก็เห็นเป็นเพียงแต่เมฆธรรมดาๆ ก้อนหนึ่งเท่านั้น ในขณะที่แม่ลูกคู่นั้นเห็นเป็นสัตว์ต่างๆมากมาย ทำไมของสิ่งเดียวกันแต่คนสองคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆกันกลับมองไม่เหมือนกัน หรือว่ามาลูกคู่นี้เห็นในสิ่งที่ฉันไม่เห็น...
บนรถเมล์ที่ฉันโหนไปทำงาน เด็กนักเรียนสองคนใกล้ๆ กำลังพูดถึงการสอบเข้ามหาวิทยาลัย

“ทำไมแกรีบอ่านหนังสือคร่ำเคร่งนัก กว่าจะสอบก็ปีหน้าไม่ใช่เหรอ”

“ต้องรีบอ่านสิ อีกแค่ปีเดียวพวกเราต้องสอบแล้วนะ นี่อ่านแทบไม่ได้นอนมาหลายเดือนแล้ว” “เหรอ...” “แล้วแกล่ะ ทำไมจนป่านนี้ยังไม่อ่านหนังสือสักที”

“ไม่ต้องรีบหรอก อีกตั้งปีกว่าจะถึงวันสอบ”

ฉันมองตามหลังเด็กทั้งสองขณะที่พวกเขาเดินลงจากรถหน้าโรงเรียน นับว่าเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของคนสองคนที่มองสิ่งเดียวกันต่างออกไป คนหนึ่งมองอย่างเป็นทุกข์ อีกคนมองอย่างไม่ทุกข์ หรือว่าทุกสิ่งรอบตัวสามารถมองได้สองแบบจริงๆ แบบเดียวกับที่ฉันมองสองด้านของเหรียญหรือมองแก้วน้ำที่มีน้ำเหลืออยู่ครึ่ง แก้ว

แล้วที่ฉันไม่มีความสุขอยู่ทุกวันนี้เกิดจากการมองของฉันใช่หรือไม่...
เย็นวันนั้นฉันกลับบ้านมานั่งพักที่ระเบียง แมวดำตัวหนึ่งกำลังพยายามจะมาคุ้ยหาขยะในถุงดำที่มัดกองไว้หน้าบ้าน แต่แรกฉันทำท่าจะถอดรองเท้าขว้างใส่แบบที่เคยทำมา แต่พอคิดไปอีกทางว่าการเกิดเป็นแมวจรจัดไร้เจ้าของและที่ซุกหัวนอนนั้นก็แย่ พออยู่แล้ว ยังต้องมาคุ้ยขยะหาอาหารประทังชีวิตให้รอดแล้วยังถูกคนขับไล่อีกไปที่ไหนก็ มีแต่คนไม่ต้อนรับเอ็นดู

ฉันลองเปลี่ยนความคิดดู หันหลังเดินเข้าครัว หยิบไส้กรอกอีสานและแฮมในตู้เย็นออกมาอุ่นเล็กน้อย จากนั้นก็เปิดประตูบ้านออกไป แมวดำยังอยู่ที่กองขยะหน้าบ้าน แสงจากเสาไฟฟ้าที่ส่องสลัวลงมาถึงตัวของมันทำให้มองดูเหมือนกับว่ามันเป็น สิ่งมีชีวิตที่โดดเดี่ยวที่สุดในโลก ฉันส่งเสียงเลียนแบบแมวดังเมี้ยวๆ จนมันหันมามอง

“กินซะนะ อยู่ด้วยกันมานานฉันเพิ่งจะมาใจดีวันนี้แหละ” แมวตัวนั้นค่อยๆเดินมาอย่างกล้าๆกลัวๆจนมาหยุดใกล้ๆฉันจึงวางไส้กรอกอีสาน กับหมูแฮมลงบนพื้น แมวจรจัดส่งเสียงร้องเหมียวๆขณะก้มลงดมอาหารมื้อพิเศษนั้น ในที่สุดมันก็กินอย่างเอร็ดอร่อยทีเดียว

ฉันยืนกอดอกมองภาพแมวที่กำลังกินอาหารที่ฉันหามาให้อย่างมีความสุข เพิ่งได้รู้กับตัวเองว่าการไล่แมวกับการให้อาหารแมวนั้นมันให้ความสุขทางใจ ที่แตกต่างกันมากกขนาดนี้เอง

ต่อจากนี้ไปฉันจะมีความสุข... .........................................................................................................
ฉันชอบงานที่ฉันทำ เพราะมันให้โอกาสฉันได้แสดงฝีมือทำงานเพื่อส่วนรวมและมีรายได้มาเลี้ยงตัว เอง งานทั้งหลายนั้นดูช่างท้าทายฉันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ฉันชอบเจ้านาย เพราะเขาให้โอกาสฉันคิดและตัดสินใจลงมือทำสิ่งต่างๆด้วยตัวเองโดยพยายามตัด เตือนแนะนำเมื่อฉันทำงานผิดพลาด

ฉันชอบเช้าวันจันทร์ เพราะเป็นวันที่ฉันรู้สึกเหมือนทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งสัปดาห์นี้จะ ต้องดีกว่าสัปดาห์ที่แล้ว

ฉันชอบเช้าวันอังคาร เพราะเป็นวันที่ฉันเพิ่งทำงานไปได้วันเดียว ยังมีอีกหลายวันที่สนุกสนานรออยู่ เพื่อนที่ทำงานยังรอฉันอยู่

ฉันชอบเช้าวันพุธ เพราะเป็นวันที่ฉันเริ่มตื่นขึ้นมาพร้อมความล้าเล็กน้อยและพบว่าเวลาผ่านไป ครึ่งทางแล้ว ฉันจะรีบทำงานในเวลาที่เหลือให้ดีที่สุด อีกไม่นานฉันจะได้พักผ่อนวันหยุดแล้ว

ฉันชอบเช้าวันพฤหัสบดี เพราะเป็นวันที่ฉันเห็นความคืบหน้าของงานในสัปดาห์นี้มากมาย หากฉันไม่จัดการงานพวกนี้ บริษัทและทุกคนในบริษัทคงลำบากมากฉันรู้ว่าฉันมีส่วนร่วมในการผลักดันบริษัท ของฉัน

ฉันชอบเช้าวันศุกร์ เพราะฉันจะให้กำลังใจตัวเองว่านี่คือวันทำงานวันสุดท้ายแล้วฉันจะจัดการทุก สิ่งไม่ให้คั่งค้างเพื่อให้พรุ่งนี้และมะรืนนี้เป็นวันหยุดที่แสนสบาย

ฉันชอบเช้าวันเสาร์ เพราะฉันจะตื่นมาพร้อมกับเสียงหัวเราะของเด็กบ้านใกล้ๆที่กำลังวิ่งเล่นกัน อย่างสนุกสนาน ฟังดูสดชื่นมีชีวิตชีวา จากนั้นฉันจะเริ่มทำความสะอาดบ้านและมองดูบ้านที่สะอาดขึ้นทีละน้อยอย่าง ภูมิใจ

ฉันชอบเช้าวันอาทิตย์ เพราะฉันจะตื่อนแต่เช้าเช่นกันเพื่อเตรียมหุงหาอาหารใส่บาตรพระที่ผ่านมา หน้าหมู่บ้าน จากนั้นฉันจะไปซื้อของและกลับมาพักผ่อนที่บ้าน รอคอยสัปดาห์ใหม่ที่กำลังจะเริ่มขึ้น

ฉันชอบวันหยุดนักขัตฤกษ์ เพราะมันทำให้ฉันมีเวลาส่วนตัวให้ตัวเองและครอบครัวมากขึ้น

ฉันชอบรถติด เพราะมันทำให้ฉันเพลิดเพลินกับการฟังเพลงวิทยุช่องโปรดและเหม่อมองสิ่งต่างๆรอบตัวนานขึ้น

ฉันชอบรถเมล์ เพราะฉันมองเห็นคนมากมายที่กำลังร่วมทางกันอยู่บนรถคันเดียวกัน แต่ละวันที่ได้พบกับผู้คนบนรถเมล์ฉันมักจะได้แง่คิดดีๆ จากการเงี่ยหูฟังพวกเขาคุยกันอยู่เสมอ

ฉันชอบบ้านเช่าที่ฉันอยู่ เพราะมันดูกะทัดรัดดูแลทำความสะอาดได้ง่าย มีเพื่อนบ้านมากมายคอยช่วยเป็นหูเป็นตาให้

ฉันชอบบ้านเดิมที่ต่างจังหวัด เพราะมันห่างไกลจากความวุ่นวายในเมืองหลวง และฉันมักจะกลับไปพักผ่อนเติมพลังอยู่เสมอเมื่อเหนื่อยล้าจากการใช้ชีวิตใน เมือง

ฉันชอบนิยายน้ำเน่า เพราะมันทำให้ฉันผ่อนคลายและได้ล่องลอยไปในโลกความฝันบ้างหลังจากที่เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว

ฉันชอบหน้าร้อน เพราะมันทำให้ฉันรู้สึกถึงชีวิตชีวารอบข้าง เสียงแมลงต่างพากันร้อง นกต่างพากันบินออกหากิน ดอกไม้เบ่งบาน

ฉันชอบหน้าฝน เพราะมันช่างดูอบอุ่นชุ่มเย็น การเฝ้ามองต้นไม้เขียวขจีต้องลมฝนจากใต้ชายคาบ้านฉันเป็นภาพที่สวยงามจริงๆ

ฉันชอบหน้าหนาว เพราะมันทำให้ฉันรู้สึกเย็นสบาย ได้หยิบเสื้อหนาวสวยๆในตู้ออกมาใส่จะเดินออกไปไหนมาไหนก็กระชุ่มกระชวย นอนหลับก็สบายไม่ต้องเปิดพัดลม

ฉันชอบมหาวิทยาลัยที่ฉันเรียนจบมา เพราะมันไม่ค่อยมีชื่อเสียง หากฉันทำงานของฉันจนประสบความสำเร็จฉันจะกลายเป็นบุคคลที่สร้างชื่อเสียงให้ กับมหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยของฉันจะเป็นที่ยอมรับของทุกคน

ฉันชอบคนรักของฉัน เพราะเขาเป็นคนจริงใจพูดตรงไปตรงมา ไม่มีมารยา และทำให้ฉันเรียนรู้ที่จะเอาอกเอาใจเธอ

ฉันชอบกรุงเทพ เพราะที่นี่มีผู้คนมากมาย และมีบทเรียนใหม่ๆ ที่จะคอยสอนใจฉันอย่างไม่รู้จักจบสิ้น เหมือนกับที่มันเคยสอนฉันให้มองโลกอย่างมีความสุขมาแล้ว

ฉันมีความสุข...

การ์ตูน ขายหัวเราะ
ฉบับประจำวันพุธที่ 14-20 กุมภาพันธ์ 2550
ความสุขอยู่ในทุกหนแห่งและอยู่ที่ตัวฉันเอง...อยู่ที่ฉันจะตั้งใจมองหามันในทุกสิ่งรอบข้างเองหรือไม่เท่านั้น...

ข้อคิดดีๆ จากนักคิดระดับโลก

ช่วงนี้...เพื่อนคงไม่ค่อยได้เข้ามาในบล็อกซักเท่าไร เนื่องด้วยพวกเรามีภารกิจ นั่นก็คือ โปรเจค (สัมมนา)
วันนี้ก็เลยหาข้อความมาให้กำลังใจเพื่อนๆ รวมทั้งตัวเองด้วย จะได้มีแรงทำงานกันนะ เอ๊ะหรือว่าจะแย่กว่าเดิมน้า มาลองดูกัน...

"ที่เราไม่กล้าเสี่ยงทำการใด
หาใช่เป็นเพราะสิ่งเหล่านั้นยากเกินการไม่แต่หากจะกล่าวอย่างง่ายๆ คือ คงเป็นเพราะสิ่งเหล่านั้น
ทำให้เรารู้สึกยากลำบากจนไม่กล้าพอที่จะเสี่ยงลงมือ"

.......... เซเนกา .........

"จงอย่าสูญเสียกำลังใจ
เพราะความพยายามอันล้มเหลว
แต่ละครั้งที่ผ่านไปนั้น
คืออีกขั้นที่เราได้ก้าวไปข้างหน้า"



.....ทอมัส แอลวา เอดิสัน.....

ในช่วงเวลาที่เรากำลังจะสิ้นใจ
"ขอให้เราอย่าได้ตัดสินจากปริมาณของสิ่งที่เราได้ทำ
แต่ขอให้เราวัดจากความรักซึ่งเราได้ทุ่มเท
ให้กับงานที่เราทำ"


.....แม่ชีเทเรซา.......

วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2551

เท่าไหร่????

เคยคิดบ้างหรือเปล่าว่า "มูลค่า" ของคอมพิวเตอร์ที่เราใช้อยู่ "ราคา" เท่าไหร่? (ไม่รวม H/W)
ถ้าเราจะซื้อหามาใช้แบบถูกลิขสิทธิ์ ไม่ผิดกฏหมายเลยเนี่ย ราคามันจะสักเท่าไหร่ คิดกันเล่น ๆ

* เริ่มจากก่อนอื่นเลยระบบปฏิบัติการอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ คงไม่ถึงกับ Vista มั๊ง แค่ Windows XP Pro ก็พอ ราคาอยู่ที่Windows XP Professional SP2b English 1pk DSP OEI CD w/Thai LIP 6,180 .- ​บาท
* ลง Windows เรียบร้อยแล้ว ชุด Office ขอชุดเล็กละกันOffice Home and Student 2007 Win32 Thai CD 5,260 .- ​บาท
* เรียบร้อยแล้วเพื่อความมั่นใจติดโปรแกรมกำจัดไวรัสด้วย เอา Nod32 นะ คนใช้กันเยอะดีESET NOD32 Antivirus Business Edition 1 Year update 5-10 License 1,485 .- ​ บาท
* เพื่อน ๆ ชอบส่งไฟล์มาแบบ Zip ไฟล์ ต้องติด winzip ลงไปด้วยWinZip 11 Standard License ENG (100 - 199) 370 .- ​บาท
* มีกล้องถ่ายรูปนี่ ลืมโปรแกรมดูรูป จัดการรูป ได้ไง เอานี่ไปACDSee Pro 7500 .- ​บาท
* ได้รูปมาแล้ว ทำให้มันเจ๋ง อย่างงาม อย่างงาม นี่เลยโปรแกรมแต่งรูปที่เจ๋งสุด เท่าที่ฉันรู้จักPhotoshop CS3 10 WIN RET IE DV 1 User 30,000 .- ​บาท
* แต่งรูปเรียบร้อยแล้วจะส่งเป็นให้เพื่อนประมาณว่าอยากอวด เขียนลงแผ่นซีดีด้วยNero 8 Media Kit 1,000 .- ​บาท
* เลือกเอาอย่างถูกละกันแบ่งให้เพื่อนดูแล้ว แบ่งให้ชาวประชาดูด้วยเป็นไร ทำเว็ปโชว์ผลงาน เผยแพร่ผลงานด้วยนี่ สุดยอดแล้วDreamweaver CS3 9 IE WIN AOO 19,100 .- ​บาท
* ได้เว็ปแล้ว ไม่ได้ซิต้องแต่งให้มันกะดุ๊ก กะดิ๊กด้วย งั้นเจอนี่ อย่างเทพ ขอบอก Flash Pro CS3 9 IE WIN AOO 33,400 .- ​บาท
* เจ๋งเป้งเครื่องเราอย่างกับเครื่องเทพ อ้าวลืมไปเขตชอบส่ง ไฟล์ PDF มาให้แถมพวก จะประเมิน คศ.๓ เวลาพวกขายดันเป็น PDF แก้ไม่ได้ด้วยงั้นเจอนี่ อภิมหาอมตะเทพAcrobat 8 IE WIN AOO 13,400 .- ​บาท
* จะทำ คศ. ๓ ทั้งที ต้องมีเครื่องมือ ต้องมีนวัตกรรม ทำไงดี ทำไงดี?เอานี่ไปAuthorware 7 IE WIN AOO 126,900 .- ​บาท
* ไว้สร้าง CAICaptivate 3 IE WIN AOO 33,400 .- ​บาท เอาไว้สร้าง บทเรียนจะส่งผลงานแล้ว คศ.๓ ไม่ไกลเกินฝัน
* ร่วมด้วยช่วยกันด้วยสุดยอดโปรแกรมวิเคราะห์ข้อมูลแห่งจักรวาลSPSS 13.0 for Windows 75,000 .- ​บาทวิเคราะห์ข้อมูลได้สุดยอด

ในที่สุดฝันเป็นจริง เสียที ๕๕๕๕๕๕๕ ลงทุนไปเท่าไหร่กับซอฟท์แวร์ลิขสิทธิ์ ตอบได้มีรางวัล...ขอบคุณข้อมูล ราคา จากhttp://www.software.co.th
ปล. ยังไม่นับรวมเพลง ทั้งลูกทุ่ง สตริง สากล คิดประมาณ อัลบั้มละ 100 บาท ลองเอามานับดูครับ

วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2551

คุยกันหน่อย เรื่องงานเข้า ของ SA&SD

เนื่องจากมีความสับสน อลหม่าน (เขียนถูกเปล่า เนี่ย) เกี่ยวกับ งานที่เข้ามาเมื่อวันเสาร์ที่ 23 สิงหาคม ในห้องเรียน SA&SD ครูเลยขอทำความเข้าใจดังนี้นะจ้ะ

ให้นักศึกษาเขียนเล่าเรื่องราว ความคิด ความรู้สึก เกี่ยวกับสามเรื่องต่อไปนี้ โดยเขียนในสามมุมมอง คือ มุมมองกับตัวเอง มุมมองกับเพื่อน และมุมมองกับ class SA&SD (ไม่ใช่แค่อาจารย์นะจ้า ไม่ต้องอวยกันมากกกก ... มุมมองกับ Class คือ รูปแบบการเรียนรู้ การสอน เนื้อหา ระยะเวลา คือ ภาพรวมของ Class นี้นะจ้ะ)

สามเรื่องที่ว่าคือ

1. Impression ความประทับใจ (อะไรที่โดน อะไรที่เราประทับใจ ณ ตั้งแต่วันแรกที่เราได้เจอกัน ตั้งแต่วันที่มี Class SA&SD)

2. Good practice- อะไรที่คิดว่าตัวเรา พวกเราทำดีแล้ว... และน่าจะทำมันต่อไป...

3. Improvement- อะไรที่อยากให้มีการปรับปรุง ดัดแปลง แก้ไข หรือ เลิกทำ


งานที่เข้าอีกอันคือ คำถามที่ให้เขียนเช่นเดียวกัน คือ

1. เราอยากได้หรืออยากเรียนรู้อะไรเพิ่มเติมอีก (ให้เขียนที่เราอยากรู้และอาจจะสามารถทำได้ ในเวลาที่เหลือของ Class-จะพยายามทำให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้)

2. อะไรคือคำถามในชีวิตของฉัน (แค่หนึ่งหรือสองหรือสามก็พอคะ ไม่ต้องเขียนมาประมาณ หนึ่งรีม กระดาษ A4 นะคะ (ส่วนเรื่องของคำตอบ ยังไม่ต้องตอบตอนนี้นะจ้ะ)

หวังว่าคงมีประกายใสปิ๊งๆ ในการเขียนเล่าเรื่องราวนะจ้ะ

ขอให้กำลังใจทุกทุกคนค้า

เอามาฝากอีกนิด....

ความเชื่อพื้นฐานเกี่ยวกับมนุษย์และการเรียนรู้ว่า

1) มนุษย์ทุกคนมีความสามารถในการเรียนรู้ได้ สามารถพ้นทุกข์ได้ โดยเฉพาะผ่านการภาวนา การกระทำในใจอย่างใคร่ครวญ และการมีกัลยาณมิตร

2) มนุษย์สามารถพ้นทุกข์ร่วมกันได้ หากเข้าใจถึงธรรมชาติคือความเชื่อมโยงของสรรพสิ่งและสรรพชีวิต

3) มนุษย์ทุกคนอยากเป็นคนดี อยากเป็นที่รัก อยากมีความสุข*

4) หากเลือกได้ มนุษย์ทุกคนเลือกสิ่งที่ตนคิดว่าดีที่สุดสำหรับตนเองเสมอ ทุกครั้ง ไม่มีเลยแม้แต่ครั้งเดียวที่เราเลือกสิ่งที่ดีที่สุดอันดับที่สอง ดังนั้นจึงต้องเคารพให้เกียรติกับการตัดสินใจของแต่ละคนและทุกคน เราได้แต่ให้โอกาส แล้ววางใจกับผล ประสบการณ์ และการเรียนรู้ ที่เขาจะได้รับจากการตัดสินใจนั้นของเขา

5) และ ที่มนุษย์เชื่อกันว่ามี "ตัวเรา" จริงๆ นั้น ไม่มีจริง**

* แม้ว่าจะเป็นต้นเหตุของความทุกข์ของตนเองและโลกก็ตาม

** อันอ้างอิงได้จากทั้งศาสนา และวิทยาศาสตร์ใหม่ เช่น หลวงปู่ดุลย์ อตุโล "ที่เขาเห็นนั้นจริง แต่สิ่งที่เขาเห็นนั้นไม่จริง" หรือความจริงทางควอนตัมที่ว่า ๑) สรรพสิ่งไม่มีจริง ถ้าเราไม่ไปสังเกต (There is no reality in the absence of observation.) ๒) การสังเกตของมนุษย์สร้างความจริงที่รู้จักขึ้นมา (Obseravation created worldly reality.) ๘) โลกและจักรวาลมีแต่ความอาจที่จะเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ และความจริงอย่างโน้นอย่างนี้ (Heisenberg’s potentialities) ไฮเซ็นเบิร์กอธิบายว่า ทุกสิ่งในโลกที่เรารับรู้ว่าเป็นจริงเป็นเพียงปรากฏการณ์ที่เป็นจริง แต่โลกที่อยู่เบื้องหลังไม่จริง (Only phenomena are real; the world beneath phenomena is not real.)

เอาละนะจ้ะ ..... แล้วจะรออ่านเรื่องราวของพวกเราทุกคน

ด้วยความปรารถนาดีคะ

วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2551

มาเตรียมความพร้อมในการอภิปรายกันดีกว่า.....

ก่อนที่พวกเราจะเริ่มอภิปรายกันในวันที่ 6 กันยายน พวกเราก็ควรจะรู้ความหมายของคำว่าอภิปรายกันก่อนนะ จะได้เตรียมตัวได้ถูกไง มาเริ่มกันเลย……

การอภิปราย คืออะไร ??
การอภิปรายเป็นการพูดซึ่งมีลักษณะคล้ายการสนทนา แต่การอภิปรายแตกต่างกับการสนทนาในลักษณะสำคัญ คือ การอภิปรายมีความมุ่งหมายที่กำหนดไว้ล่วงหน้าแน่นอน เช่น การตัดสินใจหรือการแก้ปัญหาในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ส่วนการสนทนาโดยทั่วไปไม่ได้กำหนดเรื่องที่จะสนทนาไว้ก่อน และอาจเปลี่ยนเรื่องไปได้ต่างๆ ตามแต่เหตุการณ์

การอภิปรายแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1. การอภิปรายแบบธรรมดา
2. การอภิปรายเป็นคณะ

แล้วจะอภิปรายกันไปทำไม เพื่ออะไร...??

1.เพื่อฝึกทักษะในการใช้ภาษาทั้ง 4 ประการ คือ ฟัง พูด อ่าน เขียน พร้อมๆ กันไป
2.ฝึกทักษะการคิดเพิ่มเติมด้วย
3.ฝึกการเป็นผู้ค้นคว้า หาความรู้หรือข้อมูลที่จะใช้ในการอภิปรายมาก่อน แล้วกลั่นกรองข้อมูลนั้น หรือเรียบเรียงไว้เพื่อใช้ในการอภิปราย

ผู้ร่วมอภิปรายควรปฏิบัติดังนี้
1. เตรียมตัวที่จะพูดตามหัวข้ออภิปรายไว้ล่วงหน้า โดยศึกษาหาข้อมูลและเตรียมข้อคิดเห็นในเรื่องที่จะอภิปรายไว้ให้พอเพียง
2. พยายามพูดให้อยู่ภายในหัวข้อของการอภิปราย
3. พยายามฟังและติดตามคำอภิปรายของผู้ร่วมอภิปราย
4. พยามพูดให้รวบรัดแต่ได้ใจความสมบูรณ์
5. ต้องไม่ขัดจังหวะหรือท้วงติงผู้ที่กำลังอภิปราย
6. ถึงแม้จะมีความเห็นแย้งกับผู้อื่น ก็ยินดีรับฟัง และยอมรับสิทธิในการแสดงความคิดเห็นของผู้อื่น
7. แสดงความสนใจในการอภิปราย
8. พูดให้ผู้ฟังได้ยินทั่วถึง

หลักเกณฑ์สรุปการอภิปราย

ผู้ดำเนินการอภิปรายทำหน้าที่สรุปในตอนท้ายของการอภิปราย การสรุปการอภิปรายควรปฏิบัติดังนี้
1. กล่าวถึงจุดประสงค์ในการอภิปราย
2. กล่าวถึงประเด็นสำคัญที่มีผู้อภิปราย
3. กล่าวถึงผลของการอภิปราย
4. สรุปจากข้อเท็จจริงและความคิดเห็นของผู้อภิปรายทุกคน ไม่สรุปตามความคิดเห็นของตน

วันเสาร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2551

DBMS คืออะไรน้า ......???

หลังจากที่เมื่อวาน เราโพสหัวข้อที่อาจารย์สอนในห้องไปแล้ว วันนี้เราก็จะมาขยายความต่อในหัวข้อของ DBMS ว่ามันคืออะไรกันน้า......??
เริ่มกันเลย.........
อาจารย์จง : “DBMS คืออะไร ...........??”
พวกเรา : “มัน คือ ระบบการจัดการฐานข้อมูล”
อาจารย์จง : “อืม... ถูกส่วนหนึ่ง แต่ช่วยอธิบายเพิ่มเติมหน่อย”
พวกเรา : งง ??????..........
อาจารย์จง : “ พวกเราแปลตรงตัวเกินไป งั้นเอาอย่างนี้ดูนะ”

DB คือ Database หมายถึง ฐานข้อมูล
M คือ Management หมายถึง การจัดการ
S คือ System หมายถึง ระบบ

เพราะฉะนั้นพวกเราก็เลยแปลว่า ระบบการจัดการฐานข้อมูล ใช่มั้ย แล้วมันคืออะไรกันแน่ล่ะ ยกตัวอย่าง การจัดการขยะ คืออะไร ก็คือการกระทำอะไรบ้างอย่างกับขยะใช่มั้ย ... แล้วเราทำอะไรกับขยะได้บ้าง....???
พวกเรา : เริ่มแรกก็แยกขยะ แล้วก็ถ้าอันไหนนำไปรีไซเคิลได้ ก็แยกไว้
อาจารย์จง : เพราะฉะนั้น การจัดการฐานข้อมูล หรือ DBMS ก็คือ การกระทำอะไรบางอย่าง กับฐานข้อมูล something แล้วกระทำอะไรกับฐานข้อมูลล่ะ โปรแกรม DBMS มีอะไรบ้าง ...??
พวกเรา : MS. Access
อาจารย์จง : MS. Access ใช้ทำอะไรได้บ้าง ....??
พวกเรา : ใช้สร้างฐานข้อมูล สร้างตารางข้อมูล สร้างรายงาน สร้างแบบฟอร์ม สร้างคิวรี่

นี่เป็นเรื่องหนึ่งที่พวกเราเรียนกันในห้องเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา แล้วเพื่อนๆ อ่านแล้ว งง มั้ย แล้วเข้าใจหรือยังว่า DBMS คืออะไร สามารถตอบอย่างที่ไม่แปลตรงอย่างที่เล่าให้ฟังได้หรือเปล่า อธิบายได้มั้ย .... ถ้าอ่านข้างบนแล้วยังไม่รู้คำตอบเราก็มีบางสิ่งมาให้อ่าน ซึ่งมีผู้เขียนไว้ ดังนี้แล...

(DBMS) เป็นกลุ่มโปรแกรมที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในระบบติดต่อระหว่างผู้ใช้กับ ฐานข้อมูล เพื่อจัดการและควบคุมความถูกต้อง ความซ้ำซ้อน และความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลต่างๆ ภายในฐานข้อมูล

*** ที่เราเขียนมาทั้งหมดก็ เพื่อที่จะเล่าให้เพื่อนๆ บางคนที่ไม่เข้าได้รู้ว่าพวกเราเรียนอะไรไปบ้างแล้ว และก็ให้เพื่อนๆ ที่เข้าเรียนไปทบทวนว่าอาจารย์ได้สอนอะไรเราบ้างในวันนั้น เราจำได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าเพื่อนอ่านไม่ค่อยรู้เรื่อง ข้าน้อยก็ขออภัยด้วย ข้าน้อยน้อยก็พยายามจับประเด็นที่อาจารย์พูดแต่ได้เท่านี้ เพื่อนๆ ต้องช่วยกันแล้วล่ะ อย่าปล่อยให้สิ่งที่อาจารย์พูดในห้องมันผ่านเลยไป .... ถ้าเพื่อนๆ สนใจเรื่อง DBMS ก็ลองเข้าไปดูตามลิงค์นี้เลยนะhttp://cptd.chandra.ac.th/selfstud/Database/dbms.htm

**เข้ามาติชมกันได้นะจ๊ะ**
สำนักข่าว SA/SD รายงาน

มาคิดนอกกรอบ....กันดีกว่า

อาจารย์จง วาดรูปนี้บนกระดาน ซึ่งประกอบไปด้วยจุด 9 จุดเรียงต่อกันดังภาพ


พร้อมกับบอกว่า .....
ให้เราลากเส้นตรง 4 เส้นผ่านจุดทั้ง 9 โดยห้ามยกปากกาขึ้น


แล้วไงต่อ ....


งง ซิค่ะพี่น้อง ลากยังไงก็ไม่ได้ ไม่ครบ 9 จุดบ้าง ลากเส้นเกิน 4 เส้นบ้าง


แต่ก็ได้คำเฉลยจากพี่หม่อน...ผู้มีประสบการณ์สูงกว่าพวกเรา เฉลยให้ดูดังนี้...




อาจารย์คงกำลังจะบอกพวกเราว่าให้ลองคิดนอกกรอบดูบ้าง ที่เราลากเส้นไม่ได้เพราะไปยึดติดอยู่ว่าจะต้องลากเป็นกรอบสี่เหลี่ยม ทั้งๆ ที่อาจารย์ไม่ได้กำหนดไว้ ถ้าเราลองลากนอกกรอบอย่างที่พี่หม่อนบอก มันก็จะได้ 4 เส้นพอดีไม่ขาดไม่เกินจ้า....


เรามีโจทย์ใหม่มาให้เพื่อนๆ ลองทำดูล่ะ ของอาจารย์คงจะง่ายไป...คงมีเพื่อนๆ บางคนคิดออกแล้ว งั้นลองทำโจทย์ข้อนี้ดู


จงลากเส้นตรงเส้นเดียวผ่านจุดทั้ง 9 โดยห้ามยกปากกานะ ลองกันเลย...



ลองคิดกันดูเล่นๆ น้า.... ถ้าคิดออกแล้วก็โพสบอกกันด้วยล่ะกัน
ถ้าไม่ได้แล้วเราค่อยเฉลย..... เราว่าเพื่อนคิดออกกันอยู่แล้ว ก็เก่งๆ กันทั้งนั้น

ทบทวน ... เรียน SA เมื่อวันที่ 23 สิงหา

วันนี้เข้าเรียน SA แล้วได้ความรู้หลายอย่างเลย เหมือนได้เรียนหลายๆ วิชาในเวลาเดียวกัน ฟัง อาจารย์พูดมาแล้วก็อย่าปล่อยให้มันผ่านเลยไป ... มาทบทวนกันดีกว่า .... ว่าอาจารย์พูดถึงเรื่องอะไรบ้างในห้อง ฮ่า...ฮ่า ลืมแล้วอ่ะ .... เอาเท่าที่เราจำได้ก็แล้วกันนะ อาจจะไม่ได้เรียงตามหัวข้อที่อาจารย์พูดเลยทีเดียวนะ มาเริ่มกันเลย ...........
1. อาจารย์พูดถึง เรื่องความสำคัญของภาษาอังกฤษ อยากให้พวกเราเรียนรู้และหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับภาษาอังกฤษไว้บ้าง เพื่ออนาคตที่ดี
2. เรื่องของ ADSL ย่อมาจากอะไรน้า...??
- Dial up
- Lease line
ทั้งสามตัวนี้มันคืออะไร ย่อมาจากอะไร ใช้ทำอะไร แตกต่างกันอย่างไร ข้อดี ข้อเสียของแต่ละตัว ต่างๆ เหล่านี้อาจารย์จงมอบหมายให้เป็นหน้าที่ของ ** คุณตุ้ย (สุดหล่อ....ที่สุดในสาขาการจัดการภาคปกติ แหละ) *** ก็ช่วยๆ กันทำมาหากินด้วยนะคุณตุ้ย

3. เรื่องการออกแบบสถาปัตยกรรม เครื่องไม้เครื่องมือที่ใช้ในการออกแบบระบบ (ประมาณนี้ล่ะ ส่วนไฟล์ประกอบการเรียนในวันนี้ เพื่อนๆ สามารถติดตามทวงถามได้จาก คุณทรายนะจ๊ะ.....)
4. เปิดโอกาสให้พวกเราได้ซักถามถึงอุปสรรคและปัญหาในการเรียน หรือปัญหาส่วน เรื่องยอดฮิตปัญหาโลกแตกของพวกเรา คือ โปรเจค อาจารย์ก็ได้ให้คำแนะนำต่างๆ มากมาย เช่น ให้พวกเราลองคิดนอกกรอบ (เดี๋ยวอธิบายให้ฟังทีหลังนะ) ให้อ่านเยอะๆ จะได้มีไอเดีย *** อาจารย์แนะนำว่า ........... วันจันทร์นี้ถ้าใครว่างให้ลองไปที่ห้องสมุดของ ม.มหิดลศาลายา ไปศึกษาตัวอย่างวิทยานิพนธ์ต่างๆ เพื่อเป็นแนวทางในการทำโปรเจค เปิดหูเปิดตา ถ้าใครสนใจก็โทรติดต่ออาจารย์จงได้***
5. DBMS คืออะไร ระบบการจัดการฐานข้อมูล ใช่หรือเปล่านะ?? คำตอบ ใช่ แต่ขยายความหน่อยลองไปคิดกันดูเล่นว่าคำนี้มันคืออะไร แล้วใช้ทำอะไรน้า....

**** แล้วมีเรื่องอะไรอีกน้า .... รู้สึกว่าอาจารย์สอนเยอะกว่านี้ อ่ะ ช่วยกันทบทวนหน่อยนะ ****

งานเข้าแล้วจ้า...เพื่อนๆ


หลังจากที่เข้าเรียน SA เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2551
เห็นว่าเพื่อนๆ บางคนไม่ได้เข้าเรียนในวันเสาร์ที่ผ่านมา หรือบ้างก็เข้าเรียนสายอาจตามไม่ทันสิ่งที่อาจารย์บอก ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องภาระงานและตารางสอบคร่าวๆ ก็เลยเอามาโพสไว้เผื่อจะมีคนเข้ามาอ่านบ้าง มาดูกันเลยจ้า .........
มาดูตารางภาระงานที่เราจะต้องทำกันเลย
งานเขียนเกี่ยวกับวิชา SA **
อาจารย์จงให้หัวข้อในการเขียนมาดังนี้นะจ๊ะ.... และก็อาจารย์ให้พิมพ์ส่งด้วยนะ คงจะส่งทางอีเมล์แหละ อาจารย์ยังบอกอีกว่า.... ใครใคร่เขียนเป็นไดอารี่ก็ได้นะ เต็มที่......
1. ความประทับใจ
2. อะไรที่เราคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีแล้ว
3. อะไรบ้างที่เราคิดว่าต้องปรับปรุง
4. เราอยากได้หรืออยากเรียนรู้อะไรเพิ่มเติมอีก
5. อะไรคือคำถามในชีวิตของฉัน แล้วหาคำตอบให้กับตัวเองได้หรือยัง ??

**** ให้เขียนอธิบายหรือเล่าเรื่องในทั้ง 5 หัวข้อที่อยู่ด้านบน ใน 3 มุมมอง ดังนี้
- มุมมองเกี่ยวกับตัวเอง
- มุมมองภาพรวมในการเรียนรู้ (เช่น ความรู้ที่ได้ , สภาพห้องเรียน .... ฯลฯ)
- มุมมองเกี่ยวกับเพื่อนๆ หรืออาจารย์

งานอภิปรายกลุ่ม***
อาจารย์ให้เราแบ่งเป็น 2 กลุ่ม เพื่อที่จะอภิปรายเกี่ยวกับ “ (หัวข้อที่ 1) แนวโน้มและปัญหาในการใช้ระบบงานสำหรับธุรกิจ และ (หัวข้อที่ 2) การนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในระบบงานสำหรับธุรกิจได้” ใครจะอยู่กลุ่มไหนก็ตามสบายจ้า แต่อาจารย์จงมีข้อเสนอแนะมาว่า....... ให้พวกเราลองทำงานกับเพื่อนคนอื่นๆ ที่เรายังไม่เคยทำงานด้วยบ้างก็จะดีมาก จะได้เป็นการเรียนรู้และทำ ความรู้จักกันมากขึ้น (มั้ง! ฉันตีความเอาเองอ่ะ ....5555) แล้วก็อาจารย์คาดหวังว่าพวกเราจะมีการพูดคุยหรือปรึกษากันในกลุ่มมาก่อนหน้าวันอภิปราย เพราะว่าอาจารย์จะเป็นผู้ฟังอย่างเดียว ** เตรียมตัวกันตั้งแต่เนิ่นนะ....เดี๋ยวจะเสียหน้าเด็กการจัดการอย่างพวกเรา (ไม่ได้กดดันนะ.... ขำ ขำ แต่เต็มที่กับงาน ... งงล่ะซิ 5555........)**

งานนำเสนอโปรเจครอบที่สอง***
- ก็คงทำต่อเพิ่มเติมหัวข้อที่ยังไม่ได้ทำตามหัวข้อโครงงานของอาจารย์ แล้วก็แก้ไขงานตามคอมเม้นของอาจารย์

แนวข้อสอบ ***
- Data กับ Information
- Data Flow
- งานต่างๆ หรือสิ่งที่อาจารย์เคยให้ทำในห้อง
- ข้อสอบมีประมาณ 6 ข้อ
อาจารย์จงก็บอกมาคร่าวๆ เท่านี้แหละเพื่อนๆ ยังไงก็อ่านหนังสือกันให้ดีๆ แล้วกัน ข้อแนะนำจากอาจารย์บอกว่า ..... ไม่ต้องท่องเนื้อหามาให้ทำความเข้าใจ (คงให้เขียนอธิบายตามความเข้าใจของเรา ยกตัวอย่างให้เห็นอะไรประมาณนี้กระมัง) ***ข้อเขียนทั้งหมด

สุดท้ายวันสุดท้ายของการเรียน
อาจารย์จงบอกว่าจะเลี้ยงข้าวพวกเรา ..... (กินฟรีมีเกียรตินะพี่น้อง 555++.............)

**** ปล.ก่อนจาก ถ้าเราโพสข้อความเนื้อหาตรงไหนผิดพลาดหรือ งง เพื่อนๆ คนไหนที่รู้ก็ช่วยโพสแก้ไขด้วยนะจ๊ะ
*............สำนักข่าว SA/SD รายงาน...........*

วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ภาษาและเครื่องมือที่ใช้ในการเขียนโปรแกรม

จากที่พี่หม่อนได้อธิบายเรื่องการเลือกใช้ภาษาและฐานข้อมูลกันมาแล้ว ก็ขอสรุปเป็นตารางให้เพื่อนๆ ดูกันง่ายๆ แล้วกันนะ
คิดว่าน่าจะทำให้เพื่อนๆ ตัดสินใจเลือกได้ถูกต้องยิ่งขึ้น หลังจากที่งง....กันว่าจะใช้ภาษาอะไรเขียนดี แล้วจะให้โปรแกรมไรทำฐานข้อมูล
รูปอาจเล็กไปหน่อย ไมรู้ว่าจะมองเห็นกันหรือเปล่า ยังไงก็ลองดูแล้วกันนะจ๊ะ ...........



วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2551

รัฐสภาใหม่(ไฉ)__ไ(ร)ล กว่าเดิม

ไม่มีรายมาก.... หุหุหุ

เล่าสู่กันฟัง

มาบอกเฉยๆ เผื่อบางคนไม่รู้....

^^ ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ "ชัย ชิดชอบ" ก็เจรจาต้าอ้วยกับประมุขฝ่ายบริหาร "สมัคร สุนทรเวช" เคาะเลือกพื้นที่ราชพัสดุทหาร ย่านเกียกกาย เนื้อที่ 119 ไร่ ตัดปัญหาความคับแคบของอาคารรัฐสภาย่านดุสิตแบบตัดช่องน้อยแต่พอตัว
^^ รัฐสภาแห่งใหม่จะเป็นหน้าตาประเทศชาติ
^^ ครม.ไฟเขียวอนุมัติงบฯ 4,027 ล้านบาท เพื่อใช้จ่ายในการก่อสร้างรัฐสภาแห่งใหม่
^^ แด่ผู้ทรงเกียรติที่ถูกเลือกตั้งมาจากประชาชน
^^ มัดมือชกด้วยการลงนามใน "เอ็มโอยู" ระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อสร้างรัฐสภาแห่งใหม่ในวันที่ 15 ส.ค.เสียแล้ว


รวยกันเลย....



ที่มา หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน วันที่ 15 สิงหาคม 2551 ฉบับที่ 11115

วันจันทร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2551

เครื่องมือในการพัฒนา Web Application

โอเคครับ

ถึงเวลาอันเหมาะสมที่จะเขียนบทความลง Blog นี้เสียที เนื่องมาจากหลายๆ เสียง หลายๆ คำถามของน้องๆเกี่ยวกับเจ้าเครื่องไม้เครื่องมือในการพัฒนา Web Application

ตัวอย่าง

...
"ตกลงใช้ภาษาอะไรเขียนดีครับ ASP หรือ PHP ดี"
"เอ๊ะ แล้ว VB มันต่างยังไงกับ ASP หรือ PHP"
"ถ้าผมจะใช้ Visual Studio เขียน PHP เนี่ยะได้มั๊ยครับ"
...

หลังจากได้ฟังแล้ว ก็อดไม่ได้ว่า "ต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว"

ในเทอมหน้าหลายๆ คนในที่นี้ (คงไม่ใช่พี่ กับ อาจารย์จงดี) คงจะต้องไปเริ่มเขียนโปรแกรมกันแล้วนะครับ นอกเหนือจากความรู้ ความเ้ข้าใจ ในเชิงของธุรกิจ การวิเคราะห์ การออกแบบแล้วเนี่ยะ ยังต้องมีความรู้ในเชิงของเทคโนโลยีด้วย เพราะในการทำปัญหาพิเศษนี้เราต้องสวมบทบาทตั้งแต่เริ่มต้นโครงการ การเก็บข้อมูล การวิเคราะห์ ระบุปัญหา หาแนวทางการแก้ไข ประเมินความเป็นไปได้และผลตอบแทน จนกระทั่งลงมือพัฒนาระบบสารสนเทศให้เป็นรูปเป็นร่าง

ที่นี้จะพูดถึงความรู้ในเชิงเทคโนโลยี

เท่าที่พี่ประสบมา งานปัญหาพิเศษเรื่องของพัฒนาโปรแกรมนั่น ส่วนใหญ่แล้ว (แต่จริงๆ พี่ก็ว่าทั้งหมดนั่นแหละ) ท่านคณะกรรมการพิจารณาโครงการ มักให้พัฒนาเป็น Web Application ...ทำไม?

เรื่องของทฤษฎีนั้น พี่ว่าน้องๆ คงได้เรียนไปหมดแล้วนะครับ พี่คงไม่เอามาเขียนซ้ำ (หรือเขียนซ้ำดี) พี่มองว่ามันเป็นเรื่องของ Trend มากกว่า

จำเป็นมั๊ยว่าต้องเป็น Web Application เป็น Windows Application ไม่ได้เหรอ ?

นั่นสิครับ จำเป็นด้วยเหรอว่าต้องเป็น Web Applcation พี่ก็ตอบแทนไม่ได้ เพราะมันขึ้นกับงาน ขึ้นกับระบบที่จะพัฒนา

อย่างไรก็ตาม อย่างที่บอกไปนะครับ สาขาเราก็ตาม Trend จากเท่าที่ทราบ ปัญหาพิเศษปีพี่ที่เขียนโปรแกรมและเป็น Window Application นั้นมีกลุ่มเดียว จาก 10 กลุ่ม

ต่อกันด้วยเรื่อง Web Application

เมื่อจะต้องเขียน...เข้าใจมันรึยังครับ?

ตอนนี้พี่ว่าน้องๆ คงรู้แล้วว่าตัวเองจะเขียนอะไร เขียน Web Application ให้ทำอะไร

แต่ ...มันติดปัญหาตรงที่ว่า จะเขียนมันอย่างไร ด้วยอะไร

เอาล่ะสิ

"ชั้นรู้จัก VB C# ASP ASP.net PHP"

แล้วมันคืออะไร เอาไปใช้ยังไง?

อธิบายกันสักนิด

เมื่อก่อนเว็บไซต์แสดงผลได้ตามที่ผู้เขียนเว็บอยากให้เป็น อยากให้เนื้อหาในหน้านั้นเป็นยังไง ก็สร้างเว็บขึ้นมาแล้วยัดเนื้อหาที่ต้องการแสดงผลลงไป

แต่ต่อมาก็พบว่า โอ้ จอร์จ! มันไม่สะดวกเอาซะเลย อย่างนี้ถ้าอยากได้เว็บแสดงรายการสินค้า แล้วซาร่ามีสินค้านับพันชิ้น จอร์จมิต้องทำเว็บเป็นพันหน้าให้หรอกเหรอเนี่ยะ ยังไม่นับเวลาที่เกิดอารมณ์ผันผวนเปลี่ยนใจอยากแก้ข้อมูลสินค้าอีก ตามแก้กันลิ้นห้อยเลยสิเนี่ยะ

ใช่ ตอนนี้เราเรามีเทคโนโลยี DBMS แล้ว ข้อมูลสินค้าเราถูกเก็บลง Databae ทั้งหมด ถ้าอยากจะใช้ เราก็เรียกเอาข้อมูลจากใน Database มาใช้เลยก็สบายสิเนี่ยะ ทีนี้จะแก้อะไรก็แก้ใน Database ที่เดียว หน้าเว็บก็แค่ดึงข้อมูลนั้นๆ มาแสดงเป็นข้อมูลปัจจุบันตามจริงเสมอ วิเศษไปเลย

เอ้อ แล้วจะเขียนยังไงล่ะทีนี้ให้เว็บไปดึงข้อมูลจาก Database ได้

มันก็เป็นคิวของโปรแกรมไงล่ะจอร์จ! เราต้องเขียนโปรแกรมเพื่อสั่งงานเว็บว่าจะต้องทำอะไร อย่างไรบ้าง แทนที่จะให้มันอยู่เฉยๆ แสดงผลข้อมูลอย่างเดียว

ดังนั้นแล้วเว็บของจอร์จนั้นจะต้องมีการประมวลผล การติดต่อกับ Database เพื่อเรียกใช้ข้อมูล บางครั้งก็ต้องรับข้อมูลจากผู้ใช้เพื่อเอาไปค้นหาสินค้าอีก

เจ้าตัวที่คอยจัดการ รับ ประมวลผล และส่งต่อข้อมูล เราเรียกมันว่า "Web Server"

เจ้า Web Server นี่ ก็ไม่ได้ผูกขาดแต่อย่างใด หากแต่มีให้เราเลือก กันในปัจจุบันอยู่หลายตัวทีเดียว อาทิเช่นดังๆ ก็ IIS แล้วก็ Apache

IIS (Internet Informaion Service) เนี่ยะของ Micosoft เค้า เค้าพัฒนามาเพื่อรองรับกับ .NET Framwork ซึ่งเป็นมาตรฐานของการเขียนโปรแกรมบน Windows อยู่แล้วทั้ง VB.NET, C#.NET ทีนี่เมื่อมาทำเว็บ เค้าจึงให้มันอยู่บนมาตรฐานเดียวกันด้วย เค้าเรียกมาตรฐานของการโปรแกรมบนเว็บเค้าว่า ASP.NET

เมื่อจะเขียนโปรแกรมให้ได้ตาม ASP.NET แล้วเนี่ยะ เราก็เขียนตามโครงสร้างภาษาเช่นเดียวกับ Windows น่ะแหละ โดยใช้ได้สองภาษา จะ VB ก็ได้ หรือ C# ก็ได้ หรือ ผสมๆ กันก็ยังได้ แตกต่างตรงที่ Web Application กับ Windows Application มันมีโครงสร้างการทำงาน ข้อจำกัด สภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน ทำให้มีคำสั่งบางอย่างเพิ่มเติมมา คำสั่งบางคำสั่งก็ใช้บนเว็บไม่ได้ แต่ในส่วนของโครงสร้างภาษาก็อิงตามนั้น

เช่น เวลาเราเขียนโปรแกรมด้วย VB เราใช้คำสั่ง Dim เพื่อประกาศตัวแปรสักตัวชึ้นมาใช้งาน เช่น Dim a As Interger = 1เวลาไปอยู่บนเว็บ ถ้าเราต้องประกาศตัวแปรมาใช้งาน เราก็ใช้โครงสร้างภาษาของ VB แบบนี้มาใช้ได้เหมือนกัน (ถ้าเราเลือกใช้ VB)

ส่วนใครไม่ถนัด VB แต่คล่องภาษา C# จะเขียนด้วยโครงสร้างภาษา C# เป็น interger a = 1; ก็ย่อมได้

ส่วนเครื่องมือในการเขียนเนี่ยะ ย้ำเครื่องมือนะครับ เครืองมือ ... เครื่องมือคือ อะไรสักอย่างที่ทำให้น้องๆ มีเจ้าผลลัพธ์ที่ต้องการได้ เครื่องมือในทางคอมพิวเตอร์ พูดง่ายๆ ก็คือโปรแกรม ถ้าอยากพิมพ์งานจะเลือกใช้โปรแกรม Notepad Wordpad Microsoft Word ไหนก็แล้วแต่จริงมั๊ยครับพิมพ์งานได้ทุกโปรแกรมเลย สวยไม่สวยอีกเรื่อง

เครื่องมือ ~= โปรแกรม ()

เครืองมือในการเขียน ASP.NET เนี่ยะก็สามารถใช้เครืองมือพัฒนาโปรแกรมของ Windows ได้เลยเช่นเดียวกัน นั่นก็คือพระเอกของเรา Visual Studio หรือถ้าไม่อยากเสียตังค์ซื้อ (เพราะมันแพง) จะใช้ Notepad เขียน ก็ได้ครับ ถ้าหากไม่ขี้เกียจนั่งหาข้อผิดพลาดด้วยตัวเอง

ย้ำ!! เ้จ้า Visual Studio เป็นเครื่องมือในการเขียน ตัวหนึ่งเท่านั้น และเป็นตัวเลือกที่ดี เพราะ ... มันเหมาะกับการเขียน เนื่องจากมันมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ทั้งการลาก-วาง มีตัว Complier ตรวจสอบว่าเราเขียนผิดตรงไหน แล้วขีดเส้นหยักบอก คอยบอกว่าเราจะเขียนคำสั่งอะไรในตัว Control ได้

จบเรื่องของ ASP.NET VB C# ไป

อีกค่ายก็คงไม่พ้น Apache Web Server ซึ่งเป็นที่นิยมทีเดียวเนื่องจากเป็นลักษณะของ Open Source ใช้ได้ฟรี ย้ำ ฟรี (ในการใช้งานนะ) ที่มาควบคู่กับภาษา PHP

PHP เป็นภาษาโปรแกรมบนที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ทำงานบนเว็บเท่านั้น ส่วนใหญ่แล้ว โครงสร้างของมันอิงกับภาษา C (มีความใกล้เคียงกันมากทีเดียว)

การจะเขียนเว็บโดยใช้ PHP นั้น เราต้องเรียนรู้ภาษาของเค้าไม่มีให้เลือก เช่น ตัวอย่างเดิม ประกาศตัวแปรมาใช้ ของ PHP นั้นเขียน อย่างนี้ $a = 1;

เครื่องมือในการเขียน PHP ... จริงแล้วการเขียน PHP มักลงไปที่ตัว Coding โดยตรงเลย เห็นแต่ตัวอักษรคำสั่งๆ ๆ ๆ ไม่มี Tools อะไรเท่าไหร่ ที่นิยมก็เห็น Edit Plus นะครับ แต่ก็มีโปรแกรมอยู่เหมือนๆ กันลองหาดูเอานะครับ ไม่มีอะไรแนะนำ

เรื่องของ Web Application จบแล้ว

อ่า เหลืออะไรอีก

"Dream Weaver ไว้ทำอะไรครับ"

Dream Weaver ก็เป็นเครื่องมืออย่างนึงในการทำเว็บครับ แต่หลักๆ แล้วมันเอาไว้ในการออกแบบมากกว่าเน้นเรื่องของการพัฒนาโปรแกรม ใช้ได้มั๊ย? ถ้าเอาไปเขียน PHP ก็โอเคอยู่ครับ แต่ ASP นี่ไม่ค่อยเท่าไหร่ เพราะตัว Complier โปรแกรมเองไม่ค่อยรองรับหลายๆ คำสั่ง

พิมพ์มายาวแล้วก็ตบท้ายดื้อๆ เลย

หวังว่า คงช่วยให้น้องๆ ที่กำลังว้าวุ่นอยู่ คลายความสงสัยไปได้บ้างนะครับ เนื้อหานั้นพี่ไม่ได้พยายามใช้คำวิชาการเลย และเขียนจากความเข้าใจ+ประสบการณ์เพื่อให้น้องเห็นภาพได้ง่าย ... หากยังอยากรู้อะไร คิดว่าพี่ช่วยได้ ก็ยินดีครับ

วันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ระบบเทคโนโลยี WiMAX ทำงานอย่างไร


ไวแม็กซ์ (WiMAX) บนเทคโนโลยีแบบไร้สายมาตรฐานใหม่ IEEE 802.16 มีความสามรถในการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพสูง โดยใช้หลักการของเทคโนโลยี OFDM (Orthogonal Frequency Division Multiplexing) ซึ่งเป็นคลื่นความถี่ของวิทยุขนาดเล็ก (Sub-Carrier) มาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด โดยการนำคลื่นความถี่วิทยุขนาดเล็กในระดับ KHz มาจัดสรรให้แก่ผู้ใช้ตามข้อกำหนดของคลื่นความถี่วิทยุจนเกิดเป็นเครือข่าย แบบไร้สายที่มีขนาดใหญ่ และรองรับการรับส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงในทุกสถานที่ อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าความเร็วสำหรับ ไวแม็กซ์ (WiMAX) นั้นมีอัตราความเร็วในการส่งสัญญาณข้อมูลมากถึง 75 เมกกะบิตต่อวินาที (Mbps) โดยใช้กลไกการเปลี่ยนคลื่นสัญญาณที่ให้ประสิทธิภาพสูง สามารถส่งสัญญาณออกไปได้ระยพไกลมากถึง 31 ไมล์ หรือประมาณ 48 กิโลเมตร นอกจากนี้สถานีฐาน (Base Station) ยังสามารถพิจารณาความเหมาะสมในการรับส่งระหว่างความเร็วและระยะทางได้อีก ด้วย
ในส่วนของพื้นที่บริการ ก็สามารถครอบคลุมพื้นที่ได้อย่างกว้างขวางโดยใช้เทคนิคของการแปลงสัญญาณที่ มีความคล่องตัวสูงสำหรับการใช้งานบนมาตรฐาน IEEE 802.16a บนระบบเครือข่ายที่ใช้สถาปัตยกรรมแบบผสมผสาน (Mesh Topology) และเทคนิคการใช้งานกับเสาอากาศ แบบอัจฉริยะ (Smart Antenna) ที่ช่วยประหยัดต้นทุน และมีความน่าเชื่อถือสูงด้วยมีระบบจัดการลำดับความสำคัญของงานบริการ (Qos – Quality of Service) ที่รองรับ การทำงานของบริการสัญาณภาพและเสียง ซึ่งระบบเสียงบนเทคโนโลยี WiMAX นั้นจะอยู่ในรูปของบริการ Time Division Muliplexed (TDM) หรือบริการในรูปแบบ Voice over IP (VoIP) ก็ได้ โดยโอเปอร์เรเตอร์สามารถกำหนดระดับความสำคัญของการใช้งานให้เหมาะสมกับรูป แบบของลัษณะงาน
ส่วนเรื่องระบบรักษาความปลอดภัยนั้น WiMAX มีคุณสมบัติของระบบรักษาความปลอดภัยสูงด้วยระบบรักษารหัสลับของข้อมูลและการ เข้ารหัสในการเข้าถึงข้อมูลอย่างเป็นระบบ พร้อมระบบตรวจสอบสิทธิในการใช้งาน

WiMAX คลื่นลูกใหม่ของโลกการสื่อสารไร้สายแห่งอนาคต

ไวแม็กซ์ (WiMAX) เป็นเทคโนโลยีบนบรอดแบนด์แบบไร้สาย มีอัตราความเร็วในการรับส่งข้อมูล ได้สูงสุดถึง75 เมกกะบิตต่อวินาที (Mbps) มีระยะรัศมีทำการที่ 31 ไมล์ หรือประมาณ 48 กิโลเมตร ไวแม็กซ์ (WiMAX) ถูกคาดหวังว่าจะมีการนำใช้กันอย่างแพร่หลายในประเทศกำลังพัฒนา โดยนำมาใช้เป็นโพรโทคอลสำหรับการส่งสัญญาณเสียงรวมทั้งสื่อในรูปแบบอื่นๆ ผ่านอินเทอร์เน็ต (voice-over-internet-protocol) แทนการส่งสัญญาณผ่านสายทองแดง เทคโนโลยี WiMax จะช่วยให้การติดต่อระยะไกลๆ มีราคาถูกลง เนื่องจากผู้ประกอบการในอนาคตสามารถเปลี่ยนจากการวางสายทองแดงมาเป็นการติด ตั้งหอสัญญาณ WiMax แทน มีการคาดการณ์ว่า หาก WiMax ถูกใช้อย่างแพร่หลายแล้ว อุปกรณ์ต่างๆ ที่เคยอยู่กับที่จะถูกเปลี่ยนเป็นอุปกรณ์เคลื่อนที่ และสามารถติดต่อกันง่ายขึ้น ซึ่งในเรื่องนี้ผู้นำในการผลิตชิปแนวหน้าของโลก เช่น บริษัท Intel ก็ให้การสนับสนุนและเริ่มมีแผนที่จะผลิตชิปที่เป็น WiMax เพื่อรองรับมาตรฐานของคอมพิวเตอร์ Laptop ที่ดีที่สุดในอนาคตซึ่งคาดว่าจะเริ่มในปี 2006-2007
......และถึงแม้ว่าในขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในขั้น ของการทดสอบในบางพื้นที่อยู่ก็ตาม แต่ด้วยเทคโนโลยี WiMAX เป็นเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูง อีกทั้งยังรองรับเครือข่ายแบบไร้สายที่กว้างขวางสำหรับการใช้งานอินเตอร์ เน็ตความเร็วสูง และหากมองถึงประโยชน์ในการขยายเครือข่ายบรอดแบนด์ให้เข้าถึงพื้นที่ที่อยู่ ห่างไกลแล้ว ผลประโยชน์ก็จะเกิดขึ้นกับผู้ใช้งานทุกคนที่จะมีโอกาศได้ใช้เครือข่ายสื่อ สารความเร็วสูงอย่างเท่าเทียมกัน ทำให้อนาคตอันใกล้นี้ เราคงจะได้สัมผัสถึงเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพอย่าง WiMAX นี้อย่างแน่นอน

ผู้เขียน
๐ จุไรพร สุขปักษา
๐ ฐิติวัชร์ กมลธีระโรจน์
๐ อุดร เขียวอ่อน
....น่าลองใช้ อยากรู้ว่าจะแรงเหมือนที่บอกไว้รึปล่าว เพราะเน็ตที่สถาบันเรานี่...สุดๆไปเลย

วันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2551

เห็นตะกอนในกาต้มน้ำ......กลัวว่าจะดื่มน้ำประปาแล้วจะเป็นนิ่ว

สาเหตุที่แท้จริงของการเกิดโรคนิ่วในทางเดินปัสสาวะ เกิดจากการรวมตัวของเกลือแร่ที่มีอยู่ในน้ำปัสสาวะ อาจจะเป็นเกลือฟอสเฟต เกลือคาร์บอเนตของแคลเซียม หรือแมกนีเซียม หรืออาจจะเป็นกรดยูริค หรือแคลเซียมออกซาเลท โดยปกติน้ำปัสสาวะสามารถละลายผลึกของเกลือเหล่านี้ได้ แต่ถ้ามีความไม่สมดุลเกิดขึ้น เกลือพวกนี้จะตกตะกอน และเกาะรวมตัวเป็นก้อนนิ่วได้ ปัจจัยอื่นๆ ที่ก่อให้เกิดนิ่วได้ คือการดื่มน้ำน้อยเกินไป การบริโภคอาหารที่มีสารฟอสเฟตต่ำ บริโภคอาหารที่มีสารออกซาเลทและยูริคสูงเป็นต้น อาหารที่มีฟอสเฟตสูงคือ เนื้อ นม ไข่ ถั่ว อาหารที่มีออกซาเลทสูงคือ ผักโขม ผักติ้ว หน่อไม้ และอาหารที่มียูริคสูงคือ เครื่องในสัตว์ สัตว์ปีก ยอดผักอ่อนบางชนิด การเป็นนิ่วจึงไม่เกี่ยวกับการดื่มน้ำประปาแต่อย่างใด ส่วนตะกรันที่เห็นในหม้อต้มน้ำนั้น เป็นแคลเซียมที่มีอยู่ในน้ำตามธรรมชาติ เมื่อนำไปต้มที่ความร้อนสูง แคลเซียมจะตกตะกอนเป็นผลึก ที่เรียกว่าตะกรันให้เห็น แต่หากดื่มน้ำประปาไม่ต้ม แคลเซียมในน้ำจะไปช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน ไม่มีอันตรายแต่อย่างไร

ความแตกต่างของน้ำบริสุทธิ์กับน้ำสะอาด

น้ำบริสุทธิ์ คือน้ำที่ปราศจากสิ่งเจือปนทุกชนิด โดยทั่วไปได้จากขั้นตอน การทำน้ำให้ระเหยแล้วกลั่นตัวกลับเป็นหยดน้ำ จึงเรียกกันว่า "น้ำกลั่น" ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาการทำน้ำให้บริสุทธิ์ขึ้นหลายวิธี เพื่อนำน้ำไปใช้ในอุตสาหกรรม เช่น การผลิตยา การทำแบตเตอรี่ เนื่องจากน้ำเป็นตัวทำละลายที่ดี น้ำบริสุทธิ์จะยิ่งมีความสามารถในการทำละลายได้สูงกว่าน้ำทั่วไป น้ำบริสุทธิ์จึงไม่เหมาะสำหรับการอุปโภคและบริโภคเพราะจะเป็นอันตราย ต่อเนื้อเยื่ออ่อนในร่างกาย และขาดแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย น้ำสะอาดคือน้ำที่มีสารละลาย แร่ธาตุต่างๆ อยู่ในปริมาณที่เหมาะสมต่อการบริโภค ดังนั้นการทำน้ำสะอาดเพื่อการบริโภค หรือน้ำประปา จึงต้องมีการกำหนดมาตรฐานน้ำดื่มไว้โดยกำหนดปริมาณสารละลาย หรือแร่ธาตุแต่ละรายการที่ให้มีได้ในน้ำประปา หน่วยงานที่รับผิดชอบในการผลิตน้ำประปาอย่างการประปานครหลวง จึงต้องตรวจสอบควบคุมการผลิตน้ำทุกขั้นตอน ให้เป็นไปตามมาตรฐานน้ำดื่มที่องค์การอนามัยโลกกำหนด เพื่อให้น้ำประปาสะอาด ดื่มได้ และปลอดภัยสำหรับทุกคน สำนักงานประชาสัมพันธ์ การประปานครหลวง โทร 1125

วันศุกร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ชวนมาฟังรายการไอทีดีๆ

มันคือรายการ MCOT dot Net ของทาง อสมท.
เป็นรายการไอทีอย่างที่บอกไป โดยทางรายการจะเชิญแขกรับเชิญมาสนทนาในประเด็นต่างๆ
โดยในช่วงนี้จะเป็นประเด็นเรื่องของ New Media ซึ่งเราคิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากอ่ะนะ
ยิ่งเราติดเนตเป็นชีวิตจิตใจ รู้สึกว่าหาความรู้อะไรใหม่ๆ ผ่านเนตบ้างก็ดี

New Media คือสื่อที่ใช้ช่องทางของอินเทอร์เน็ตเป็นช่องทางหลักในการเผยแพร่ข่าว
เทคโนโลยีทุกวันนี้ทำให้การเผยแพร่ข่าวสารบนอินเทอร์เน็ต ทำได้เกือบทุกรูปแบบ
ไม่ว่าเป็นตัวอักษร วีดีโอ หรือ เสียง และเทคโนโลยีบรอดแบนด์
ทำให้การส่งข่าวทำได้อย่างรวดเร็วและมีความสดถึงขั้น real time

แต่เราไม่ชวนฟังทางวิทยุหรอกมันธรรมดาไป อิอิ

จะชวนมาฟังทาง Podcast จ้า

ตามลิงค์นี้ http://podcast.mcot.net/rss/1005_rss.xml จ้า
เข้าไปแล้วกดที่ Add this Feed to "My Subscriptions" sidebar
เพื่อทำการสมัคร Feed ของรายการนี้ เสร็จแล้วมันจะขึ้น List รายการมาให้ว่ามีอะไรให้ฟังบ้าง

แล้วเวลามีหัวข้อใหม่ขึ้นมา มันก็จะอัพเดทอัตโนมัติเลยจ้า

วันอังคารที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2551

เกี่ยวกับ SMC (Thailand) Ltd.

ที่ไปดูงานกันอ่า เพื่อนๆ มาโพสให้อ่านกันบ้างสิครับ....

.... เรายัง ทำไม่เสร็จเลย..... ง่ายๆเลย กะจาเอาเป็นตัวอย่าง ไอเดียในการตอบง่ะ 555+

ล้อเล่นครับ แค่อยากอ่านของเพื่อนๆมั่งง่ัะ ^__^


ปล. ขอความกรุณาผมจะส่งล่าช้าสักนิดได้หรือเปล่าครับท่านอาจารย์.... คือ ไม่ทราบจะพิมพ์อะไร อะครับ

_(~ ~)_

ตัวอย่างโปรแกรม

วันนี้เรามีตัวอย่างโปรแกรมมาให้ดาวน์โหลดไปดูกันล่ะ
มันเป็นตัวอย่างโปรแกรมของสำนักพิมพ์หนึ่ง ทำขึ้นมาเพื่อใช้ประกอบการอ่านในหนังที่มีชื่อว่า "การวิเคราะห์และออกแบบระบบ"
ในลิงค์ที่ให้นี้จะมีไฟล์ให้ดาวน์โหลด เช่น โค้ดของ VB ,Database จากโปรแกรม Access , ตัวอย่างหน้าจอ ,รูปไอคอนต่างๆ, ตัวอย่างรายงานให้ดูด้วย น่าจะเอาไปใช้ทำโปรเจคได้ ,แล้วก็มีไฟล์ PDF เกี่ยวกับกรณีศึกษาซึ่งใช้หลักการวิเคราะห์แบบเดียวกับ SA ที่เราเรียนกันเลย


ดาวน์โหลดได้ที่ : http://www.ktpbook.com/Download/search_download.asp

วิธีดาวน์โหลด

  • เมื่อเพื่อนๆ เข้าไปในหน้าเว็บที่ให้ตามลิงค์นี้แล้ว ให้ลองหาดูหนังสือชื่อ "การวิเคราะห์และออกแบบระบบ"
  • จากนั้น จะพบว่าข้างล่างหนังสือมีไฟล์ให้ดาวน์โหลดอยู่ 3 ไฟล์ (มั้ง)
  • ถ้าสนใจก็ลองดาวน์โหลดไปดู เนื้อหาก็อย่างที่บอกข้างต้นนั้นแล

ไอ้คำนั้นน่ะ !!!!

คำที่ 'จารย์ บอกง่ะ ค้าาาาาบบบบ...

+++ @: "Mentor" :@ +++

The image “http://content.mahalo.com/images/Mentor.jpg” cannot be displayed, because it contains errors.

  • มันก็น่าจะแปลว่า....
  • "พี่เลี้ยง"
  • แบบว่า คนที่คอยช่วยเหลือ ให้คำปรึกษาอย่างเอาใจใส่ เวลาทำงาน
  • ให้คำปรึกษาอะนะค้าาบ~
  • อะไรประมาณนั้น
  • อะคับ...!? ^__^

ใช่ป่าวไม่รู้นะ แต่น่าจะใช่แหละ 555+

.......ปามานว่าตามภาพอะแหละ.......

เป็นคนคอยให้ความกระจ่างดั่งผู้ให้แสงนำทาง












เป็นคนคอยร่วมมือ ดั่งสะพานให้ข้ามผ่านอุปสรรคไปสู่ความสำเร็จ
The image “http://www.kellogg.northwestern.edu/student/club/ibank/Web%20Pictures/Mentor.jpg” cannot be displayed, because it contains errors.

เป็นคนคอยรับฟังด้วยความสดใสร่าเริงแม้เราจะทำหน้างง !?
(((แต่ดูท่าทาง ตาหัวโล้นเหมือนเกย์เฒ่าจ้องจากินเด็ก นายแว่นก็ดูหวั่นๆ หึหึ)))
The image “http://www.teachers.ab.ca/NR/rdonlyres/74160F09-5350-4BB0-A9D7-705EF02B3A64/0/Mentor1.jpg” cannot be displayed, because it contains errors.

เป็นคนคอยชี้แนะ แบบไม่เครียด ยิ้มแย้ม ว้าวววว
The image “http://www.bi.no/Grafisk-markedFiles/ny_design_2007/forsider/gruppe_heltid_05.jpg” cannot be displayed, because it contains errors.

ตั้งใจฟังเราด้วยนะ .....
The image “http://www.mentorset.org.uk/images/mentor.jpg” cannot be displayed, because it contains errors.

สรุปเลยแล้วกันว่า เป็นอะไรที่ดีแน่ๆเลยครับ

The image “http://www.qmr.com/products/millennium_mentor/images/millennium_mentor.gif” cannot be displayed, because it contains errors.


หุหุหุหุ



ไป เสิร์ชหาภาพ จากหลายที่นะครับ แล้วเอามาโม้ เอง อิอิอิ 555+

หลักการสร้าง DFD

วันนี้เรานำเรื่องการเขียน DFD มาลงให้เพื่อนๆได้อ่านกันนะไม่รู้ว่ามีใครเคยเอามาลงไว้หรือเปล่า แต่จากการเรียนและพรีเซ็นงานเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาเห็นว่าเพื่อนๆ รวมทั้งเราเองยังเขียน DFD กันไม่ถูกต้อง คิดเสียว่าเป็นการทบทวนก็แล้วกัน อาจจะยาวน่าเบื่อไปหน่อย แต่ก็รู้ไว้ใช่ว่านะจ๊ะ.... พยามยาม สู้ ...สู้....

แนวทางในการสร้าง DFD ที่ดี
1. ลดความซับซ้อน การมีข้อมูลที่ต้องประมวลผลมากเกินไปใน DFD แต่ละระดับ คือความซ้ำซ้อนที่เกิดขึ้น เรียกว่า Information Overload ดังนั้น นักวิเคราะห์จึงต้องลดปริมาณข้อมูลที่ต้องประมวลผลลงในแต่ละระดับด้วยการแบ่งย่อย Process การทำงาน ให้ไปอยู่ใน DFD Level ระดับถัดไป
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำไว้ว่า การแบ่งย่อยแผนภาพที่ดี ควรยึดหลักดังนี้
1.1 DFD แต่ละระดับ ควรมี Process ไม่เกิน 7 + 2
1.2 Data Flow ที่เข้าและออกจากแต่ละ Process , External Agent หรือ Data store ไม่ควรเกิน 7 + 2 ใน DFD แต่ละระดับ

2. DFD ต้องมีความสมบรูณ์ คือ หากมีการเพิ่มเติมรายละเอียดใดๆ ที่จำเป็นเข้ามาในระบบ นักวิเคราะห์ระบบจะต้องเพิ่มเติมรายละเอียดเหล่านั้นลงใน DFD ด้วยเสมอ และหาก Data Flow , Data store ,Process และ External Agent บนแผนภาพ DFD ไม่เชื่อต่อกับสิ่งใดๆ แสดงว่า DFD นั้นไม่สมบรูณ์

3. DFD ต้องมีความสอดคล้อง เป็นความสอดคล้องที่ปรากฏอยู่บน DFD ในระดับบนและระดับล่าง กล่าวคือ สิ่งที่ปรากฏอยู่ใน DFD ระดับบน เมื่อมีการแบ่งย่อย Process ลงมาในระดับล่าง จะต้องมีสิ่งที่ปรากฏอยู่ในระดับบนนั้นด้วยเสมอ (หลักเกณฑ์นี้จะเกี่ยวข้องกับกฎความสมบรูณ์ของแผนภาพ DFD)

4. การทำซ้ำ การสร้าง DFD ในรอบแรกนั้นจะยังไม่มีความถูกต้องและสมบรูณ์ ต้องมีการตรวจสอบแผนภาพหรือมีการปรบปรุงแผนภาพทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขความต้องการ

ที่มา : กิตติ ภักดีวัฒนะกุล, พนิดา พานิชกุล,“การวิเคราะห์และออกแบบระบบ”,สำนักพิมพ์ เคทีพี,2551

วันอาทิตย์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2551

มีแบบทดสอบให้เล่นกัน

และแล้ว...คุณภารีนาก็โพสอีกแล้วคับท่าน (หลายคนอาจสงสัยว่า มันจะไร้สาระอีกป่าวเนี่ย --> เฮ้ย...ไม่หรอก เพราะเพื่อนๆ ต้องอ่านอันบนก่อนอันล่างอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ทุกคนย่อมได้อ่านอันนี้ก่อน แล้วก็คงไม่รู้ว่าภารีนาโพสอะไรที่ไร้สาระไปบ้างแล้ว)

อันนี้ได้ลองคลิกไปเรื่อยๆ ก็ไปเจอแบบทดสอบมา โอ้..ว้าว (ทำตื่นเต้นไว้ก่อน ให้คนอื่นสนใจ ^^)มันชั่งสนุกสนานอะไรเยี่ยงนี้ ไม่เคยเจอไรที่สนุกขนาดนี้มาก่อน (เริ่มเวอร์ไปล่ะ) อันนี้เป็นเว็บของ SRT นะค่ะ ลองเข้าไปลองทำดูนะ

ส่วนตัว...ขอภูมิใจนำเสนอแบบทดสอบอันที่ 3
"ทดลองแบบฝึกฝนโปรแกรม Speed Reading"

http://www.speedreadingthai.com/nt2/about/demo_list.htm#
--> ตามเว็บนี้ค่ะ


ปล.บล๊อกไม่ดีหรือคอมฝนมีปัญหา มันตกแต่งไรไม่ได้เลยอ่ะ เอาเป็นว่า เดี่ยววันหลังจะพยายามมาแก้ให้งดงามกว่านี้นะ (หรือเรียบๆ แบบนี้มันอ่านง่ายกว่าเนี่ย 555+ ไม่เอาอ่ะ...เค้าไม่ชอบอะไรไม่มีสีสัน)

การทำให้เราลืม

สวัสดีเพื่อนๆ อีกรอบค่ะ (แหม...ชื่อเรื่องตะกี้กะตอนนี้มันชั่งเข้ากันจริงๆ) คือเรื่องนี้เกี่ยวกับ 10 พฤติกรรมที่ทำให้สมองฝ่อเร็วมาบอกให้ทราบโดยทั่วกันเจ้าค่ะ...

1. ไม่ทานอาหารเช้า หลายคนคิดว่าไม่ทานอาหารเช้า แล้วจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ แต่นี่จะเป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้สมองเสื่อม --> ข้อนี้สำหรับฝนไม่มีปัญหา

2. กินอาหารมากเกินไป การกินมากเกินไปจะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็นสาเหตุให้เกิดโรคความจำสั้น --> ข้อนี้เป็นปัญหา -*-

3. การสูบบุหรี่ เป็นสาเหตุที่ทำให้เป็นโรคสมองฝ่อและโรคอัลไซเมอร์ --> อยากบอกว่า ใครเลิกได้น่ารักที่ซูดด

4. ทานของหวานมากเกินไป จะไปขัดขวางการดูดกลืนโปรตีนและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาของสมอง --> ข้อนี้ทำไม่ได้อ่า ToT

5. มลภาวะ สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกาย การสูดเอาอากาศที่เป็นมลภาวะเข้าไปจะทำให้ออกซิเจนในสมองมีน้อยส่งผลให้ประสิทธิภาพของสมองลดลง --> อากาศที่บ้านบริสุทธิ์อยู่แล้ว

6. การอดนอน การนอนหลับจะทำให้สมองได้พักผ่อน การอดนอนเป็นเวลานานจะทำให้เซลล์สมองตายได้ --> ข้อนี้เกิดขึ้นเฉพาะช่วงเวลาก่อนส่งสัมมนา

7. นอนคลุมโปง จะเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้นและลดออกซิเจนให้น้อยลงส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง --> ออ...พึ่งรู้นะเนี่ย

8. ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย การทำงานหรือเรียนขณะที่กำลังป่วย จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงเหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว --> โอ้...ว้าว

9. ขาดการใช้ความคิด การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมอง การขาดการใช้ความคิดจะทำให้สมองฝ่อ --> ข้อนี้ไม่มีปัญหา เพราะฝนมีเรื่อง (ไร้สาระ) ให้คิดตลอดเวลาอยู่แล้ว

10. เป็นคนไม่ค่อยพูด ทักษะทางการพูดจะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมอง --> พอดีเป็นคนขี้อาย ทำไงให้พูดเก่งๆ นะ ^^

ปล...คืออยากถามว่า บล๊อกนี้มันมีให้ดูมั้ยอ่ะ ว่าเราโพสไปกี่อันแล้ว พอดีว่าฝนจะบ่ได้ว่า ตัวเองโพสไปกี่อัน -*- ช่วยเหลือเด็กน้อยความจำดีเป็นเลิศหน่อยน๊า อิอิ

(แง๊ๆๆ ใส่สีไม่ได้อ่ะ ไม่ยอมๆๆๆๆๆ ...เดี่ยววันหลังมาแก้ใหม่)

การฝึกฝนความจำ

สวัสดีเพื่อนๆ ที่น่ารักทุกท่าน ...จากที่อาจารย์จงให้เราลองทดสอบความจำกันเล่น ๆ 10 นาที เนี่ย!! (เน้นว่าจารย์จงขอเวลาแค่ 10 นาที ไม่ใช่ 2 ชั่วโมงอย่างที่ทุกคนเข้าใจ) มันก็ทำให้เรารู้ว่า การมีสติหรือสมาธิเนี่ย มันสำคัญแค่ไหน เมื่อก่อนตอนอยู่ประถม จำได้ว่าคุณครูให้นั่งสมาธิก่อนสอบทุกวิชาเลย (แล้วคะแนนก็ออกมาดีซะด้วย -->อิอิ ไม่ค่อยอะเรา)

แต่เหมือนประเด็นวันนั้น เค้าชอบตอนนั่งเป็นวงพูดคุยมากกว่า (หวังว่าคงไม่มีใครเข้าใจผิดว่านั่งทำอย่างอื่น) ซึ่งปกติแล้วเนี่ย...เค้าเป็นคนไม่ค่อยชอบไรแบบนี้เลย (ปกติเป็นคนพูดไม่ค่อยเก่งค่ะ ต้องเข้าใจนิดนึง ^^) แบบว่า...จะให้พูดทำไมอ่ะค่ะ แต่พอมันผ่านไป พอเราได้พูด...มันรู้สึกดีจังเนอะ (เป็นครั้งแรกที่รู้สึกแบบนี้) สรุปว่า...จารย์จงเนี่ย Idol สุดๆ

(ผ่านไปตั้งนาน เพื่อน ๆ ชักเริ่มงงว่า สรุปว่ายัยภารีนามันจะโพสอาราย)

เอาล่ะ เข้าเรื่องๆๆ ที่จะมาโพสวันนี้ เป็นเรื่องของการฝึกฝนความจำให้ใช้งานได้ดี (และเค้าไม่ค่อยมีความสามารถเท่าไหร่ - -!) เคยมีปัญหาเรื่องความจำไหมหรือขี้ลืมจนหงุดหงิดตัวเองบ่อยๆ ถ้าใช่ ถึงเวลาต้องฝึกความจำเเล้ว การฝึกฝนความจำจะช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้นมาก และยังสนุกสนานด้วย จริงๆ มันมีอยู่หลายวิธีนะค่ะ แต่เค้าขอยกตัวอย่างมา 1 วิธีละกันเนอะ

บันทึกข้อมูลจากประสาทสัมผัส

ว่ากันว่าคนเราจะจดจำเฉพาะสิ่งที่ตัวเองสนใจจริงๆ เท่านั้น ดังนั้นข้อมูลที่เราใส่เป็นพิเศษจึงฝังอยู่ในความทรงจำได้ยาวนาน (เปรียบเหมือนกับคนที่เราใส่ใจ ที่เราจำเรื่องราวของเค้าได้ทุกอย่าง ^^) คนที่มีปัญหาเรื่องความจำไม่ดีนั้นมักพบว่า มีสาเหตุจากการขาดความใส่ใจและขาดสมาธิ ดังน้นถ้าหากต้องการจำข้อมูล คุณต้องตั้งใจจดจ่อกับเรื่องนั้น เพราะถ้าเพียงแต่รับรู้ข้อมูลที่ไม่ปะติดปะต่อ เมื่อเวลาผ่านไป มักจะจำเรื่องไม่ได้เเล้ว นอกจากนี้เราแต่ละคนยังมีวิธีจดจำข้อมูลใหม่ๆไม่เหมือนกันซึ่งนักจิตวิทยาชื่อ เฟรเดอริค เวสเตอร์ (Frederic Vester) แบ่งกลุ่มคนตามความถนัดในการจำออกเป็น 4 ประเภทคือ

1) พวกถนัดฟัง ซึมซับข้อมูลจากการฟังและการพูดเป็นหลัก
--> โดยเฉพาะการจดจำเรื่องชาวบ้านหรือเรื่องไร้สาระเนี่ย ถนัดมากที่สุด

2) พวกถนัดดูย่อยข้อมูลได้ดีที่สุดโดยอาศัยสิ่งเร้าทางตา
--> โอ้...สิ่งเร้าทางตา อันนี้เคยโดยเพื่อนบอกว่าฝนชอบมองอะไรที่มันมืดมน

3) พวกนักคิดแบบนามธรรม ชอบจดจำสูตรและนิยามต่างๆ
--> ความรัก =ความเข้าใจ +ไว้ใจ ...อ่า ชั่งกล้าเขียนเนอะช้านน

4) พวกถนัดสัมผัส จดจำได้ดีโดยการอาศัยประสบการณ์ทางกาย เช่น การสัมผัสสิ่งต่างๆ
--> อ่า...น้องแมวขนนุ่มมากๆ น่าจับบีบคอเล่นจิงๆ

เพื่อนๆ คิดว่าตัวเองจัดอยู่ในประเภทไหน ...
ก็เลือกใช้วิธีจดจำตามความถนัดของตัวเองจะได้จำข้อมูลได้ง่ายขึ้น

สุดท้าย...เพื่อนๆ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน อันไหนไม่มีสาระ ก้ออย่าไปใส่ใจจดจำมันมากนะค่ะ (คือ...จริงๆ แล้วอยากเขียนอะไรที่มันดูมีสาระเหมือนคนอื่นเค้าสุด ๆ แต่ก็ยังไม่วายเอาเรื่องบ๊องๆใส่ทุกที เอาน๊า...นะ ไม่งั้นมันก็ไม่ใช่ฝนเขียนสิเนอะ ^^)

รู้จัก ชิฟท์ ของพวก เวิร์คสเตชั่น-เมนเฟรม กันมั่งนะ

หุหุหุ

_____ก็ ก็พอดี ที่ฝึกงานของ Tui_ER ใกล้ชิดกะเจ้า ห้อง เซิร์ฟเวอร์เย็นๆ อะ ที่หน่วยก็จะมีพวก Vendor มาเสนอขายสินค้าตัวใหม่ๆ ผมก็ได้ยินเค้า คุยๆกันแว่วๆ อะไรทำนองนั้นด้วยนะครับ ก็เห็นเพื่อนโพส ชิฟ ของอินเทลกัน ก็เลย อยากโพสมั่ง ก็ บรษัท อินเทล เค้าใช้ชื่อทางการค้าว่า Xenon อะครับ เป็นชิฟ CPU 8-Core แรงกว่าเจ้าเครื่องที่บ้านเราๆแน่นอน หุหุหุ ((ก็บริษัททำเซิร์ฟเวอร์เค้าก็จะเสนอราคา เมเนเจอร์ก็จะตัดสินใจซื้อตามความคุ้มค่า ซึ่ง SA นั่นแหละครับ ต้องเป็นคนวิเคราะห์ว่าจะใช้ของอะไร ทำไร ส่วนไหน ใช้กี่ปี คุ้มค่ารึป่าว)) ว่าไป....

ปล. ก็ไม่รู้จะโพสอะไรครับพี่น้อ~ง อิอิอิ ^^

**ความแตกต่างระหว่าง Virus, Worm, Spyware, Trojan, Malware**


Virus = แพร่เชื้อไปติดไฟล์อื่นๆในคอมพิวเตอร์โดยการแนบตัวมั นเองเข้าไป มันไม่สามารถส่งตัวเองไปยังคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆไ ด้ต้องอาศัยไฟล์พาหะ สิ่งที่มันทำคือสร้างความเสียหายให้กับไฟล์


Worm = คัดลอกตัวเองและสามารถส่งตัวเองไปยังคอมพิวเตอร์เครื ่องอื่นๆได้อย่างอิสระ โดยอาศัยอีเมลล์หรือช่องโหว่ของระบบปฏิบัติการ มักจะไม่แพร่เชื่อไปติดไฟล์อื่น สิ่งที่มันทำคือมักจะสร้างความเสียหายให้กับระบบเครื อข่าย


Trojan = ไม่แพร่เชื้อไปติดไฟล์อื่นๆ ไม่สามารถส่งตัวเองไปยังคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆได้ ต้องอาศัยการหลอกคนใช้ให้ดาวโหลดเอาไปใส่เครื่องเองห รือด้วยวิธีอื่นๆ สิ่งที่มันทำคือเปิดโอกาสให้ผู้ไม่ประสงค์ดีเข้ามาคว บคุมเครื่องที่ติดเชื้อจากระยะไกล ซึ่งจะทำอะไรก็ได้ และโทรจันยังมีอีกหลายชนิด


Spyware = ไม่แพร่เชื้อไปติดไฟล์อื่นๆ ไม่สามารถส่งตัวเองไปยังคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆได้ ต้องอาศัยการหลอกคนใช้ให้ดาวโหลดเอาไปใส่เครื่องเองห รืออาศัยช่องโหว่ของ web browser ในการติดตั้งตัวเองลงในเครื่องเหยื่อ สิ่งที่มันทำคือรบกวนและละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้ ใช้


Phishing = เป็นเทคนิคการทำ social engineer โดยใช้อีเมลล์เพื่อหลอกให้เหยื่อเปิดเผยข้อมูลการทำธุรกรรมทางการเงินบนอินเตอร์เน็ตเช่น บัตรเครดิตหรือพวก online bank account


Zombie Network = เครื่องคอมพิวเตอร์จำนวนมากๆ จากทั่วโลกที่ตกเป็นเหยื่อของ worm, trojan และ malware อย่างอื่น (compromised machine) ซึ่งจะถูก attacker/hacker ใช้เป็นฐานปฏิบัติการในการส่ง spam mail, phishing, DoS หรือเอาไว้เก็บไฟล์หรือซอฟแวร์ที่ผิดกฎหมาย


Hybrid malware/Blended Threats = malware ที่รวมความสามารถของ virus, worm, trojan, spyware เข้าไว้ด้วยกัน


Malware (Malicious Software) หมายถึงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ทุกชนิดที่มีจุดประสงค์ร้า ยต่อคอมพิวเตอร์และเครือข่าย หรือเป็นคำที่ใช้เรียกโปรแกรมที่มีจุดประสงค์ร้ายต่อ ระบบคอมพิวเตอร์ทุกชนิดแบบรวมๆ โปรแกรมพวกนี้ก็เช่น virus, worm, trojan, spyware, keylogger, hack tool, dialer, phishing, toolbar, BHO, etc


แต่เนื่องจาก virus คือ malware ชนิดแรกที่เกิดขึ้นบนโลกนี้และอยู่มานาน ดังนั้นโดยทั่วไปตามข่าวหรือบทความต่างๆที่ไม่เน้นไป ในทางวิชาการมากเกินไป หรือเพื่อความง่าย ก็จะใช้คำว่า virus แทนคำว่า malware แต่ถ้าจะคิดถึงความจริงแล้วมันไม่เหมือนกัน จ้า....

ไทยเฮน้องเก๋ซิวทองแรกทุบสถิติท่าคลีนแอนเจิร์ก

"น้องเก๋" ประภาวดี เจริญรัตนธารากูล สุดแกร่งคว้าเหรียญทองแรกให้ทัพนักกีฬาไทยได้สำเร็จหลังโชว์พลังหญิงไทยยกน้ำหนักรวมได้ที่ 221 กิโลกรัม ทิ้งห่างอันดับ2 จากเกาหลีถึง 8 กก. ซิวทองจากการแข่งขันยกน้ำหนักหญิงรุ่น 53 กก. หญิง

การแข่งขันยกน้ำหนัก ที่โรงยิมมหาวิทยาลัยการบินและอวกาศ ในรุ่น 53 กก.หญิง มีนักกีฬา ลงแข่ง 9 คน โดยทัพนักกีฬาไทยมี "น้องเก๋" ประภาวดี เจริญรัตนธารากูล ลงทำการ แข่งขัน

ครั้งที่ 2 ในท่าสแนช ประภาวดี เรียกน้ำหนักเพิ่มไปที่ 95 กก. ซึ่งจังหวะยกขึ้นเหนือศรีษะเสียการทรงตัวเล็กน้อยแต่สุดท้ายก็ยกขึ้นได้สำเร็จท่ามกลางเสียงเชียร์ดังลั่นในโรงยิม ส่วน ยุน จีฮี ครั้งที่ 2 เพิ่มน้ำหนักไปที่ 97 กก. แต่ไม่สามารถกยกผ่านทำให้โอกาศที่สาวไทยจะมีเหรียญเริ่มเปิดกว้างมากขึ้น

ส่วนครั้งที่ 3 น้องเก๋ เรียกน้ำเพิ่มไปอีกที่ 97 กก. ซึ่งสามารถดึงเหล็กขึ้นได้แต่ขณะยกขึ้นกลับเสียจังหวะไม่สามารถยกขึ้นได้ แต่ก็ไม่เสียหายมากนักเพราะ ยุน จีฮี ก็ยกครั้งที่ 3 ไม่ ผ่านเช่นกัน ในขณะที่ นาตาเซีย โนวิคาว่า นักยกลูกเหล็กจากเบลารุสทำผลงานได้ดีหลังจบท่าสแนช โดยมีน้ำหนักรวมเท่ากับ น้องเก๋ ที่ 95 กก. แต่น้ำหนักตัวของสาวไทยเบากว่าจึงขึ้นเป็นผู้นำ หลังจบท่าสแนช โดยมี ยุน จีฮี ตามมาเป็นอันดับ 3 ที่ 94 กก.

ในท่า คลีนแอนเจิร์ก นาตาเซีย โนวิคาว่า เรียกที่ 116 กก. แต่ไม่สามารถยกผ่านได้ในครั้งแรกแต่สามารถมาแก้ตัวได้ในครั้งที่ 2 ส่วน ยุน จีฮี ครั้งแรกเรียกไปที่ 116 กก. และ สามารถยกผ่านไปได้แบบสบาย ส่วนครั้งที่ 2 สาวจากเมืองโสมเรียกไปที่ 118 กก. หวังกดดัน น้องเก๋ ของไทยและก็ยกผ่านได้แบบฉิวเฉียด

ต่อมาครั้งที่ 3 ของ โนวิคาว่า เรียกไปที่ 118 กก. ก็สามารถยกขึ้นได้แบบไม่ปัญหา ครั้งสุดท้ายของไทย ยุน จีฮี เรียกไปที่ 119 กก. เมื่อยกขึ้นผ่านจึงขึ้นเป็นผู้นำด้วยน้ำหนักตัวที่ดี กว่า โนวิคาว่า

ส่งผลให้ "น้องเก๋" ประภาวดี เจริญรัตนธารากูล ซึ่งออกมายกในท่าคลีนแอนเจิร์ก เป็นครั้งแรกซึ่งเรียกน้ำหนักไปที่ 120 กก. ซึ่งท่าทำได้ น้องเก๋ จะคว้าเหรียญทองทันที และน้องเก๋ ก็ไม่ทำให้คนไทยผิดหวังสามารถคว้าเหรียญทองได้สำเร็จ

หลังคว้าเหรียญทองได้แล้ว "น้องเก๋" ได้เรียกน้ำหนักครั้งที่ 2 ไปที่ 126 กก. หวังทำลายสถิติโอลิมปิกในท่าคลีนแอนเจิร์กซึ่งน้องเก๋ก็ทำได้อย่างไร้ปัญหา แต่แค่นั้นยังไม่พอสาวนครสวรรค์ต้องการทำลายสถิติโลกเป็นของแถมจึงเรียกครั้งสุดท้ายไปที่ 130 กก. แต่ไม่สามารถยกขึ้นได้จึงทำลายเพียงสถิติของโอลิมปิกในท่าคลีนแอนเจิร์กเท่านั้น

***หุหุหุ เห็นมั้ยล่ะครับผองเพื่อน "คนไทยถ้าตั้งใจ ก็ไม่แพ้ชาติใดในโลก" หุหุหุ งั้น Tui_ER ว่า พวกเร้า มาสู้ๆๆ ไฟท์โตะ ตั้งใจทำงาน ทั้ง สัมมนา ทั้งSASD และทุกๆงานเรย (((บอกคนอื่นไมฟระเค้าตั้งใจทำกันอยู่แร้ว ..บอกตัวองดีก่ามะ..))) โย่วววววว สักวันเราต้องสร้างระบบงานที่ฝรั่งตร้องมาขอร้องกราบแทบเท้าให้เราสอนให้ได้เล้ยยย!!!! หึหึหึ555555+(หัวเราะแบบโจรในหนังไทย)***

ข่าว และภาพ จาก สยามกีฬาครับผม

Green Forward


โลกของเราบอบช้ำจากความเห็นแก่ตัวของคนมามาก ตอนนี้ถึงเวลาเอาคืนของโลกบ้างแล้ว เราเคยทำอะไรไว้ตอนนี้ผลมันกำลังจะตามมา แล้วอย่างนี้เรายังจะไม่ช่วยกันทำให้สถานการณ์มันดีขึ้นอีกหรือ วันนี้จึงอยากเสนอ 8 วิธีลดโลกร้อนง่ายๆ ซึ่งอาจจะไม่เกี่ยวกับวิชาของเรา แต่ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่า โลกไม่เกี่ยวข้องกับเรา


1. ปิดสวิตส์ให้หมด โหมดสแตนบายของเครื่องใช้ไฟฟ้า อาจทำให้ค่าไฟฟ้าแต่ละบ้านเพิ่มถึงปีละ 4,000 บาทเลย

2. ถอดปลั๊กให้เกลี้ยง แม้จะกดปุ่มปิดแล้ว แต่ยังเสียบปลั๊กค้างไว้ กระแสไฟฟ้าก็ไหลเข้าไปวิ่งเล่นอยู่ดี

3. กินชะลอโลกร้อน เลือกอาหารที่ผลิตในประเทศ ลดเนื้อสัตว์ เน้นกินพืชผักผลไม้ตามฤดูกาล หรือผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์

4. พกสติไปช็อปปิ้ง ช็อปปิ้งสินค้าชิ้นไหน คิดให้ถ้วนถี่ก่อนคิดตังค์ จำเป็นมั๊ย คุณภาพดีไหม อ้อ..อย่าลืมปฏิเสธพลาสติกนะ

5. ปลูกต้นไม้ใช้หนี้ เมื่อเราเบิกเชื้อเพลิงมาใช้มากไป ก็ควรชดใช้ด้วยการปลูกต้นไม้

6. ยืดอายุเสื้อผ้า รู้จักซื้อ รู้จักซ่อม มิกซ์แอนด์แมตช์ ลดความจำเจ ยิ่งใส่นาน ยิ่งคุ้มค่า ยิ่งประหยัดทรัพยากรในการผลิตเสื้อผ้า

7. แยกขยะส่งซาเล้ง ลุงๆป้าๆ ซาเล้ง คือมือปราบภูเขาขยะที่จะพาเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล ลดการฝังกลบและการใช้วัตถุดิบในการผลิตครั้งต่อไป

8. บินแบบพอเพียง ทะยานขึ้นฟ้าแต่ละครั้ง ก็ซดน้ำมันมหาศาล แถมพ่น CO2 สู่ท้องฟ้า บินใกล้ๆในประเทศ เก็บเครื่องบินเป็นทางเลือกสุดท้าย ได้มั๊ย


"ถ้าเราทุกคนไม่ช่วย คงต้องนับถอยหลังวันสิ้นโลกได้เลย"

กลอนวันแม่

ตามสถานการณ์ วันสำคัญอีกวันหนึ่งของลูกทุกคนๆ

อาทรักแม่มากที่สุดนะ




Centrino2

และแล้ว Centrino 2 แพลตฟอร์มใหม่สำหรับโน้ตบุ๊กก็ได้ฤกษ์เปิดตัวในบ้านเราแล้ว โดยแพลตฟอร์มดังกล่าว นอกจากจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับ Core 2 Duo (Penryn) ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาแล้ว ยังมีในส่วนของประหยัดพลังงานทั้งตัวซีพียูเอง และชิปเซตกราฟิก รวมถึงประสิทธิภาพการทำงานของการ์ด Wireless ด้วยสำหรับ Centrino 2 จะมีการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของ FSB จากเดิม 800MHz เป็น 1066MHz ในขณะที่ใช้พลังงานลดลงเหลือแค่ 25 วัตต์เท่านั้น ซึ่งนอกจากจะช่วยประหยัดพลังงานในแบตเตอรี่ ทำให้ใช้โน้ตบุ๊กได้นานขึ้นแล้ว มันยังช่วยลดความร้อนอีกด้วย โดยในส่วนของโพรเซสเซอร์ที่อยู่ในแพลตฟอร์ม
Centrino 2 จะประกอบด้วย Core 2 Extreme X9100 ที่แรงสุดถึง 3.06GHz และ Core 2 Duo T9600, T9400 ทำงานที่ 2.8 และ 2.53GHz ตามลำดับ ส่วน Core 2 Duo P9500, P8600 และ P8400 จะทำงานที่ clock speed 2.53, 2.4 และ 2.26GHz (เฉพาะรุ่น Pxxxx ที่ใช้พลังงาน 25 วัตต์)
ส่วนต่อมาก็จะเป็นชิปเซต GM45 ที่ช่วยลดภาระให้กับซีพียูสำหรับการประมวลผลวิดีโอความละเอียดสูงที่เข้ารหัสด้วย H.264 อย่างเช่น บลูเรย์ ทำให้โน้ตบุ๊กในแพลตฟอร์มนี้้ สามารถตอบโจทย์การใช้งาน และสุดยอดความบันเทิงได้พร้อมกัน และองค์ประกอบสุดท้ายของแพลตฟอร์มนี้ก็คือ การ์ด Wireless ที่มีการเพิ่มช่องสัญญาณทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมดีขึ้น
ทางด้านผู้ผลิตโน้ตบุ๊กที่ขานรับแพลตฟอร์ม Centrino 2 โดยเปิดตัวโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ทันทีก็จะมี Toshiba ตามมาด้วย Sony VAIO ในส่วนของผู้ผลิตรายอื่นๆ ก็คงจะเปิดตัวตามมาเร็วๆ นี้อีกเช่นกัน นอกจากนี้ทาง Intel ยังมีเป้าหมายที่จะผลักดันซีพียูที่ใช้เทคโนโลยี 45 nm เข้าสู่ตลาดให้ได้ 100 ล้านตัวภายในสิ้นปีนี้

...เยี่ยมสุดๆๆ แต่แพงสุดๆๆ เช่นกัน...

WIMAX

เดี๋ยวนี้มีโฆษณาพวก Broadband เยอะมาก เลยสนใจว่า เข้ามาเมืองไทยแล้วหรือ แล้วใช้ได้จริงหรือป่าว เลยหาข้อมูลมาให้เพื่อนๆได้อ่านดู
WiMAX ย่อมาจาก Worldwide In teroperability for Microwave Access เป็นเทคโนโลยี Wireless Metropolitan Area Network (WMAN) หนึ่งในเทคโนโลยีสำหรับให้บริการบรอดแบนด์ไร้สายความเร็วสูง หรือ Broadband Wireless Access (BWA) และจากผลการวิจัยของอุตสาหกรรมโทรคมนาคม เผยตัวเลขว่า ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเป็นภูมิภาคที่มีการติดตั้งเครือข่ายไวแม็กซ์สูงเป็นอันดับหนึ่ง ตามด้วยยุโรป อเมริกาเหนือ และแคนาดา
แต่สำหรับประเทศไทย ความก้าวหน้าในเรื่องนี้ ยังถือว่าอยู่ในขั้นตั้งใข่ เพราะคณะกรรมการกทช.เพิ่งหยิบยกขึ้นมาพิจารณาเมื่อไม่นานที่ผ่านมาแม้จะได้ประกาศให้ใบอนุญาตการทดสอบชั่วคราวไปแล้ว ทั้ง 14 ราย หลังจากนั้นกทช.จะได้นำมาพิจารณาเพื่อกำหนดกติกาประกาศให้ใบอนุญาตต่อไป ได้ใช้อย่างจริงจังประมาณต้นปีหน้า
True ด้วยความเป็นเจ้าของลูกค้าโทรศัพท์พื้นฐานในเขตกทม.และปริมณฑล ได้เดินหน้าติดตั้งไวไฟกว่า 15,000 จุด และเติมจุดแข็งด้วยไวแม็กภายนอกบริเวณตึก หวังครองความเป็น"เจ้าสื่อสารไร้สายมหานครเมืองหลวง"
AIS เลือกพื้นที่เมืองธุรกิจอย่างพัทยา ชลบุรี รวมถึงพื้นที่กทม.และปริมณฑลเพื่อต่อยอดบริการโทรศัพท์มือถือ
Ucom ที่ดำเนินการโดยบริษัทลูกยูไอเอช ยึดน่านน้ำทะเลเมืองท่องเที่ยวอย่างภูเก็ต เกาะสมุย ใช้เป็นฐานชิงลูกค้านักท่องเที่ยวต่างชาติ
Samart ลุยกลุ่มธุรกิจในนิคมอุตสาหกรรม ที่เชื่อว่ามีความต้องการสูงในการใช้การสื่อสารไร้สายความเร็วสูงระยะไกล อย่างไวแม็ก
TT&T ที่มีจุดแข็งในฐานะเจ้าของลูกค้าโทรศัพท์พื้นฐาน 1.1 ล้านเลขหมาย ลูกค้าอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง 3 แสนราย ขอจองเมืองท่องเที่ยวโบราณทั้งอยุธยา สุโขทัย และจังหวัดทางภาคเหนือเป็นหลัก
ย้ำว่า ปัจจุบันแม้จะยังอยู่ในช่วงของการทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานไวแม็กซ์ แต่อุปกรณ์ที่รองรับการใช้งานไวแม็กซ์ก็เริ่มทยอยออกเปิดตัวสู่ตลาดกันบ้างแล้ว แต่อาจจะยังไม่แพร่หลายมากนัก และเมื่อ กทช.ให้ใบอนุญาตไวแม็กซ์ ผู้บริโภคก็ต้องปรับเปลี่ยนเครื่องใหม่หมด เนื่องจากคนละความถี่ ใช้ร่วมกันไม่ได้
ส่วนกรณีโครงข่าย 3G ไวแม็กซ์ และHSPDA ในแง่หลักการสามารถลงทุนร่วมกันได้ เพราะถนนน่าจะใหญ่พอ และอนาคตเครื่องรุ่นใหม่ไม่ว่าจะเป็นโน้ตบุ๊ก หรือพีดีเอ หรือแม้แต่โทรศัพท์มือถือก็จะมาพร้อม 3 เทคโนโลยีในเครื่องเดียว แต่ทั้งนี้คงต้องมีการจัดระเบียบ และขึ้นอยู่กับแนวทางการลงทุนของผู้ประกอบการด้วย

วันเสาร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2551

มาดูว่า Crackers เค้าจะเจาะเข้ามาทำอะไรกับระบบของเรา

อย่างที่เรารู้ ว่า Hacker มิได้เป็นภัยต่อเรา สิ่งที่เป็นภัยต่อเราคือ Cracker ผู้ที่ใช้ความฉลาดของตน ในทางที่ผิด Cracker ไม่คิดถึงผู้อื่น เขาจะทำในสิ่งที่เขาต้องการ Cracker จึงเป็น ภัยคุกคามต่อ Cyberspace เพราะเขามีความสามารถสูง เขาอาจจะโอนเงินในธนาคารไปใช้ เขาอาจจะดักฟังข้อมูล นำไปขายให้ผู้ที่ต้องการ เขาอาจจะทำลายหลักฐานของราชการ แต่ไม่ใช่เพื่อคนอื่นที่ด้อยโอกาส หากแต่เพื่อแลกกลับสิ่งที่เขาต้องการ
Crackers ทำอันตรายกับระบบอย่างไร
ระบบคอมพิวเตอร์ใดใดก็ตาม แม้จะออกแบบมา อย่างดี แต่ก็มีช่องทางให้ crackers สามารถเจาะเข้าไปเล่นงานได้เสมอ จริงๆ แล้ว crackers ไม่จำเป็นต้องเป็นอัจฉริยะ เสมอไป ขอเพียงแค่เป็นคนช่างสังเกต และมีความรู้ ความเข้าใจ ในระบบคอมพิวเตอร์พอควร ก็สามารถที่จะเจาะระบบได้ การเจาะระบบของ crackers อาจจะพอแบ่งได้ตามวัตถุประสงค์ ซึ่งก็จะก่อให้เกิดความเสียหาย ได้มากน้อย แตกต่างกัน กล่าวคือ

-การหยอกล้อ crackers ที่เจาะระบบ เพื่อหยอกล้อเล่นๆ ก็อยู่ในข่าย ที่เป็น hackers ได้ เพราะผลลัพธ์ ที่ได้ไม่รุนแรงอะไร เช่น อาจจะปลอมแปลง e-mail เล่นๆ

-การรบกวน ผู้ใดก็ตาม ตกเป็นเป้าการรบกวนของ crackers เขาผู้นั้นน่าสงสารที่สุด crackers ใช้ จุดที่ ง่ายที่สุดในการรบกวนเป้าหมาย นั่นคือ การส่ง e-mail เนื่องจากการส่ง e-mail ทำได้ง่าย และ หาต้นตอได้ยาก สมมติว่านายมอส รู้ว่านายเจมส์ใช้ internet ของบริษัท สามารถ ซึ่ง เป็นบริษัทของเอกชน นายเจมส์ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการอ่าน e-mail นายมอสก็อาจจะแกล้ง ส่ง e-mail ขนาด 10 เมกะไบต์ไปให้นายเจมส์ เมื่อนายเจมส์จะอ่าน e-mail โปรแกรม e-mail จะพยายาม download ไฟล์ 10 เมกะไบต์ดังกล่าวมา สมมตินายเจมส์มี e-mail อยู่ 10 ฉบับ แต่ไอ้เจ้าไฟล์ 10 เมกะไบต์นี้ อยู่ในอันดับ 2 นายเจมส์จะไม่เคยได้อ่านฉบับที่ 3 ถึง 10 เลย เพราะโปรแกรมอ่าน e-mail จะอ่านแต่ไฟล์นี้ อาจจะใช้เวลาอ่านเป็นชั่วโมง

-การดักฟัง หรือ ล้วงข้อมูล ถึงแม้ Internet Protocol จะมีลักษณะเป็นแบบ Point to Point คือ เครื่องส่ง กับ เครื่องรับ มี identity ของตัวเอง คือมี IP Address หนึ่งเดียว แต่ก็มีจุดอ่อน เนื่องจากบนเส้น LAN เดียวกันนั้น ข้อมูลจะถูก Broadcast ออกไปทุก ๆ เครื่อง ด้วย Ethernet Protocol สมมติมีใคร ส่งข้อมูลมายังเครื่องของเรา เมื่อข้อมูลมาถึง gateway เจ้าตัว gateway จะส่ง ข้อมูลไปให้เครื่อง ทุกเครื่องบน LAN ด้วย Ethernet Protocol จากนั้น IP Protocol จะตรวจว่าข้อมูลส่งถึงใคร เครื่องเป้าหมายก็จะหยิบข้อมูลนั้นขึ้นมาทำให้ Crackers สามารถทราบ password ของผู้ใช้ได้

-การทำลายล้าง สิ่งที่อันตรายที่สุด ที่ Cracker คนหนึ่งอาจกระทำ ก็คือ การทำลายล้าง ถ้า Cracker ทราบ password ของคนที่มีอำนาจที่สุด บนเครื่อง UNIX นั่นคือ root เขาก็สามารถลบทุกอย่างได้ อันที่จริง Cracker อาจไม่จำเป็นต้องรู้เลยด้วยซ้ำ ว่า password ของบุคคลเป้าหมาย คืออะไร เขาก็สามารถหาช่องทางอื่น เข้าไปทำอันตรายต่อข้อมูลของบุคคลนั้นได้ ดังตัวอย่าง
จาก ระบบเครือข่าย กับ เวิลด์ไวด์เว็บ และ ความปลอดภัย โดย ดร. ธีรเกียรติ์ เกิดเจริญ

มารู้จักคำว่า ระบบเครือข่ายกัน

เห็นเพื่อน ๆ ทำเกี่ยวกับระบบเครือข่ายกัน เลยไปหามาว่าที่จริงมันคืออะไร
ประเภทของระบบเครือข่าย
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ อาจนิยามได้ 2 ประเภทคือ

1เครือข่ายทางกายภาพ (Physical Networks)
หมายถึง สายและอุปกรณ์ที่ใช้ในการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ในระบบเครือข่าย อันได้แก่
-Ethernet Wiring ซึ่งมีการเชื่อมต่อได้หลายแบบ เช่น thick coaxial cable (10BASE5) แบบ thin coaxial cable (10BASE2) และแบบ twisted pair (10BASE-T) หรือที่มักเรียกกันว่า UTP
-สายใยแก้วนำแสง Optical Fiber (FDDI)
-สายโทรศัพท์ทั้งแบบ Analog และ ISDN
-สายเคเบิลใต้มหาสมุทร
ซึ่ง Physical Networks ยังรวมไปถึงการเชื่อมต่อแบบที่มองไม่เห็นด้วยอีกด้วย เช่น
-สัญญาณไมโครเวฟ
-สัญญาณดาวเทียม
-ระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่

2เครือข่ายเชิงตรรก (Logical Networks)
เป็นเครือข่ายที่เกิดจากการสร้างความสัมพันธ์ ระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่บนเครือข่ายทางกายภาพ โดยความสัมพันธ์นั้นหมายถึง การทำงานร่วมกันอย่างใดอย่างหนึ่ง การมีจุดสนใจร่วมกัน การใช้ข้อมูลร่วมกัน หรือกิจกรรมใดๆ ที่กำหนดให้มนุษย์มีส่วนร่วม (ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นคอมพิวเตอร์) เช่น
-Internet
-SchoolNet
-GINET (Government Information Networks)
-UNINET (University Networks)

องค์ประกอบของระบบเครือข่าย
จะต้องมี 3 ประการนี้จึงจะเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ได้
1เครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่บนระบบเครือข่าย
-เครื่องคอมพิวเตอร์ PC / Macintosh
-เครื่องคอมพิวเตอร์เวอร์คสเตชัน
2Physical Media หรือสื่อเชื่อมต่อทางกายภาพอันได้แก่ สาย (Cable) และ Hub หรืออุปกรณ์เชื่อมต่อต่างๆ
3ระเบียบพิธีการติดต่อสื่อสาร (Protocol) ก็คือระเบียบหรือข้อตกลง (rules) ที่ตั้งขึ้น เพื่อทำให้ผู้ที่จะสื่อสารกันเข้าใจกันและกัน ตัวอย่างเช่นสัญญาณธงที่ทหารเรือใช้สื่อสาร
จาก ระบบเครือข่าย กับ เวิลด์ไวด์เว็บ และ ความปลอดภัย โดย ดร. ธีรเกียรติ์ เกิดเจริญ

วันจันทร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2551

Window VS Mac

จากที่อาจารย์ จง ถามมานะครับ ผมก็เลยไปหามาว่าเจ้า 2 ระบบเนี้ยมัน ต่างกันอย่างไร ถึงเด๋วนี้คนหันมาใช้ Mac กันมากขึ้น หรือตามกระแส? ผมก็ไปพบกับบทความมาบทความหนึ่งครับ ยกเครดิตให้คุณ Jack ครับ ผู้เขียนบทความนี้ ลองมาอ่านกันครับ

เรื่องที่เขียนก็คือวันนี้จะอธิบายว่าแมคมันดียังไงแล้วทำไมคนใช้แมคถึงชอบชักชวนคนอื่นๆมาใช้แมคด้วยจริงๆผมเขียนเพราะ อยากให้เข้าใจว่าถ้าช่วงนี้ผมพูดถึงมันบ่อย ที่พูดถึง ชักชวนกันมาใช้ เพราะมันดีจริงๆมิได้มีเจตนาโอ้อวดแต่อย่างใด

ขอเกริ่นหน่อยนะครับ ถ้าผมพูดถึง วินโด้ว ผมจะหมายถึงเครื่อง PC ทั่วๆไปด้วย ไม่ได้หมายถึงระบบปฏิบัติการอย่างเดียวเอาเป็นว่าให้เข้าใจตรงกัน

จริงๆก่อนผมได้มาใช้แมคเนี่ย ผมก็ใช้วินโด้วมาก่อนแล้วก็รู้สึกว่าวินโด้วนี่มันก็ดีนะ ช่วงนั้นใครมาชวนผมเรื่องแมคผมก็คิดว่าอืมมม เรามีอะไรก็ใช้ไปก่อน ไม่ได้ติดขัดอะไรเครื่องแมคคงไม่จำเป็นเท่าไรนัก แต่วันนี้ผมได้จับต้องและใช้มันมาสองสามวันแล้ว ผมก็พบว่าแมคมันดีและแย่กว่าวินโด้วตรงไหนบ้าง

รวมๆแล้วแมคนั้น ดีกว่าเกือบทุกเรื่องครับ ในเรื่องของการใช้งานระบบปฎิบัติการต่างๆเรียกได้ว่า ชีวิตสุขสบายขึ้นเยอะครับ ทั้งการจัดการไฟล์การจัดการรูปภาพ การ Back up การจัดไฟล์ temporaryของระบบ ระบบไฟล์ cache ดีเยี่ยมครับ ดีขนาดที่ว่า หลายๆคนที่ซ์ื้อ Laptop ของ Mac ไปใช้นั้นแทบไม่ต้อง shutdown เครื่องกันเลยปิดฝากันอย่างเดียวถ้าเป็นทางฝั่ง windows เราก็คงต้องรีสตาร์ทเครื่องกันบ่อยๆเพราะยิ่งใช้มันจะยิ่งช้า ซึึ่ง ในรายละเอียดผมไม่รู้การทำงานระบบนะครับ ว่ามันไปจัดการระบบยังไงแต่จากประสบการณ์ในการใช้คงต้องบอกว่่าเจ้า mac เนี่ย มันใช้นานๆแล้วไม่ช้าลงจริงๆ

และแน่นอนแมคไม่ค่อยมีไวรัสมาให้กวนใจครับจะบอกว่าไม่มีเลยก็คงจะผิด มันคงมีครับแต่น้อยมากน้อยมากๆๆๆ ที่มันมีน้อยไม่ใช่เพราะระบบมันดีอะไรหรอกครับแต่เพราะคนใช้ mac ยังไม่มากพอที่พวกเขียนโปรแกรมจำพวกvirus จะเขียนมันขึ้นมา เพื่อต่อการกับ osx แต่จากประสบการณ์ผู้ใช้ไม่เคยมีใครโดนไวรัสโจมตีแล้วต้องถึงขนาดลง os กันใหม่

เรื่องที่มันแย่กว่าวินโด้วก็ีมีครับยกตัวอย่างเช่นมันขยายหน้าต่างเต็มจอไม่ได้ ,โปรแกรมเถื่อนราคาแพง ,มีปัญหาภาษาไทยในบางโปรแกรม(ณ ปัจจุบันนี้เหลือปัญหานี้น้อยมาก) ,Software น้อย ,ใช้ ms office แล้วเพี๊ยนเมื่อไปเปิดในวินโด้ว ,Hardware ซัพพอร์ตน้อย นอกจากนี้ผมก็นึกไม่ออกแล้วครับ

แล้วทำไม คนถึงใช้แมคกันน้อยล่ะ ? คงมีเหตุผลนึงคือเครื่องแมคมีราคาแพงจริงๆเรื่องเครื่องแมคที่มีราคาแพงเพราะ เครื่องแมคนั้นเวลาเราซื้อมันมาจากร้าน เราจะได้ OSX ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการของ mac นั้นมาด้วย(ที่มากกว่านั้นยังแถมซอฟแวร์พื้นฐานการใช้ทั่วไปมากับ os ด้วย เรียกได้ว่าพร้อมใช้)ซึ่งปกติถ้าเราซื้อเครื่องประกอบเองหรือ PC ธรรมดาเราไม่ได้ ระบบปฎิบัติการมาด้วยนะครับ ซึ่งจริงๆที่เมืองไทยแน่นอนว่าไม่มีปัญหาหรอกเพราะเราลงวินโด้วละเมิดลิขสิทธิ์กัน ซึ่งจริงๆ PC ทั่วไปนั้น ถ้านำราคามารวมกับค่าระบบปฏิบัติการลิขสิทธิ์แล้ว แน่นอนว่าราคาก็ไม่ได้ถูกไปกว่าเครื่องแมคที่มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการเรียบร้อยแล้วไปเสียเท่าไหร่

จริงๆเขียนอย่างนี้ ผมเองก็ยอมรับว่าใช้โปรแกรมละเมิดลิขสิทธิ์แต่อยากเขียนให้ทราบข้อเท็จจริงๆ เกี่ยวกับเรื่องราคาของแมคทำไมจึงแพง

เหตุผลข้อ 2 เพราะคนใช้วินโด้วกลัวการปรับตัวพอได้ทดลองใช้นิดๆหน่อยๆก้รู้สึกว่ายาก ไม่คุ้นเคยซึ่งเราเรียนรู้กันได้ครับ เอาเป็นว่าถ้าใช้วินโด้วคล่องแคล่วถึงขั้น ลงโปรแกรมด้วยตัวเองเป็น ทำ connection ต่อเนตเองเป็นลงฟอนต์เป็น ใช้ web browser ได้คล่องแคล่ว ในวินโด้วแล้วล่ะก็การใช้ osx ให้คล่องนั้นไม่น่าใช้เวลาเกิน 2-3 วัน

เหตุผลข้อ 3 ซอฟแวร์มีให้น้อยข้อนี้เป็นข้อที่หลายคนเข้าใจผิดอย่างร้ายแรง ใน mac นั้นมีโปรแกรมจำนวนมากโดยเฉพาะโปรแกรมที่เป็น Freewareซึ่งสุดยอดมากๆหลายตัวอยู่เหมือนกัน แต่ก็ต้องยอมรับว่าหลายๆตัวก็ไม่มีให้ใช้บน mac แต่ถ้าโปรแกรมพื้นฐานมีหมดครับ การใช้งานพื้นฐานมีหมดเหมือนวินโด้วนั่นแหละ

เหตุผลข้อ 4 ต้องทำงานร่วมกะคนอื่นที่ใช้วินโด้วเหตุผลข้อนี้น่าเห็นใจที่สุด แต่จริงๆทุกปัญหามีทางแก้ครับซึ่งตอนนี้ mac สามารถลงวินโด้วได้แล้ว แม้จะใช้ได้ไม่เต็มที่เพราะแบ่งฮาร์ดดิสกันใช้กับ osx แต่สามารถทำงานพื้นฐานง่ายๆที่ทุกคนใช้กันได้สบายๆครับ แต่ปัญหาข้อนี้นับว่ายังมีอยู่มาก แต่ถ้าเรียนรู้ระบบดีดี ก็สามารถแก้ได้ครับ

ความรู้สึกส่วนตัวของผม บอกได้เลยว่ามันคุ้มค่ามากระบบปฏิบัติการของ osx ไม่ได้สวยแต่รูป แต่มันยังทำงานได้ดีเยี่ยม ในรูปแบบของการทำงานที่ง่ายโคดง่าย รวดเร็วชนิดที่ว่าผมยังตกใจ
ในครั้งแรกๆผมติดใจเรื่องอินเตอร์เฟสงามๆของแมคมากแต่พอได้ใช้จริง คงต้องบอกว่าไม้เด็ดของมันไม่ได้อยู่ที่กราฟฟิกเลยไม้เด็ดมันอยู่ที่ระบบ ขอยืนยันจริงๆครับว่าระบบมันเยี่ยม ใช้งานง่ายไม่มี error ยุ่งยากปวดหัวใดๆ

ขอยินยันว่า มิได้มีเจตนา โอ้อวดประการใด แต่ขอยอมรับว่าไอ่ที่เขียนเนี่ย เพราะเห่อของใหม่ แต่ที่พูดมานี่ประทั้บใจจริงๆ

วันอาทิตย์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ระบบปฏิบัติการของ แมคอินทอช กัน

ปัจจุบันนี้ในประเทศไทยคนเริ่มหันมาใช้ แมคอินทอช กันมากขึ้น หรือว่า apple นั้นเอง ทั้ง ipod ทั้ง pc ทั้ง Notebook ของค่ายนี้ก็กำลังได้รับความนิยมสูงมาก แม้ส่วนแบ่งการตลาดจะแพ้ค่ายลูกอีช่าง copy อย่าง micro ตู๊ดดดด (เซ็นเซอร์หน่อย เพราะเราก็ใช้ของมันอยู่ แต่เถื่อนอะ อิอิ) ไปขาดลอยก็ตาม เรามาลองทำความรู้จักกับระบบ OS รุ่นต่างๆของ Mac กันหน่อย

แมคโอเอส (Mac OS) เป็นระบบปฏิบัติการสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์แมคอินทอช โดยทั้งคู่เป็นผลิตภัณฑ์ของบรรษัทแอปเปิลคอมพิวเตอร์. แมคโอเอสเป็นระบบปฏิบัติการที่มีส่วนต่อประสานกับผู้ใช้แบบกราฟิก (GUI) รายแรกที่ประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์
รุ่นแรกๆ ของระบบปฏิบัติการนี้ ไม่ได้ใช้ชื่อแมคโอเอส, อันที่จริงระบบปฏิบัติการนี้ในรุ่นแรกๆ ยังไม่มีชื่อเรียกด้วยซ้ำ.
ทีมพัฒนาแมคโอเอสประกอบด้วย บิลล์ แอตคินสัน, เจฟ รัสกิน, แอนดี เฮิตซ์เฟลด์ และคนอื่นๆ

แมคโอเอสรุ่นต่างๆ

แรกสุดนั้นแมคโอเอสถูกเรียกว่า ซิสเต็ม (System) และเปลี่ยนมาใช้คำว่า แมคโอเอส ครั้งแรกใน แมคโอเอส 7.5 (ค.ศ. 1996) เนื่องจากเครื่องแมคเลียนแบบที่แพร่หลายในยุคนั้น ทำให้แอปเปิลต้องการแสดงว่าแมคยังเป็นลิขสิทธิ์ของตนอยู่

แมคโอเอสสามารถแบ่งได้เป็นสองยุค คือ
Classic นับตั้งแต่แมคโอเอสตัวแรกสุด จนถึงแมคโอเอส 9
แมคโอเอสเท็น (Mac OS X) ใช้แกนกลางที่พัฒนามาจากยูนิกซ์ ตระกูลบีเอสดี โดยปัจจุบันนั้นแมคโอเอสเท็นได้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อนำมาใช้งานได้บนคอมพิวเตอร์แมคอินทอชรุ่นใหม่ ที่ได้ใช้หน่วยประมวลระบบสถาปัตยกรรม x86 Intel แล้ว แต่ยังสามารถที่จะใช้งานได้เฉพาะคอมพิวเตอร์จากแมคอินทอชเท่านั้น

แมคโอเอสเท็น (Mac OS X) เป็นระบบปฏิบัติการรุ่นล่าสุดในตระกูลแมคโอเอสสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์แมคอินทอช วางจำหน่ายครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2001 ประกอบด้วย 2 ส่วนหลัก คือ แกนกลาง ดาร์วิน (Darwin) ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมการทำงานแบบยูนิกซ์ที่เป็นโอเพนซอร์ส และส่วนติดต่อผู้ใช้แบบ อควา (Aqua) ซึ่งเป็นลิขสิทธิ์ของแอปเปิล คอมพิวเตอร์เอง
แอปเปิลยังได้สร้างแมคโอเอสเท็นรุ่นปรับปรุง เพื่อนำไปใช้ในอุปกรณ์ของแอปเปิล 3 ตัวได้แก่ แอปเปิลทีวี ไอโฟน และไอพอดทัช โดยที่ไอโฟน และไอพอดทัชนั้นจะใช้รุ่นของแมคโอเอสที่เรียกว่า iPhone OS ซึ่งระบบปฏิบัติการที่แก้ไขนี้จะมีแต่สิ่งที่จำเป็นเท่านั้น ไดรเวอร์และส่วนประกอบอื่นที่ไม่จำเป็นจะถูกนำออกไป

มารู้จักกับระบบปฏิบัติการ

คิดว่าทุกคนก็น่าจะรู้จักระบบปฏิบัติการหรือ OS กันอยู่แล้ว ลองมาดูถึงรายละเอียดลึกๆของมันกันหน่อย

Operating System (OS)

ระบบปฏิบัติการเป็นชุดของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่ควบคุม Hardware และ ทำหน้าที่เป็นตัวประสานกับโปรแกรมประยุกต์ Osสามารถควบคุมคอมพิวเตอร์ทีละเครื่องหรือหลายๆเครื่องก็ได้ หรือพวกมันอาจจะอนุญาตให้ผู้ใช้หลายๆคนเข้าถึงคอมพิวเตอร์เครื่องเดียวกันได้ การรวมกันอย่างหลากหลายของ Os Computer และผู้ใช้ ประกอบด้วย

• A Single Computer with a Single User นี่คือระบบธรรมดาที่ใช้ในคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ซึ่งอนุญาตให้มีผู้ใช้ได้งานได้แค่คนเดียวในช่วงเวลานั้น

• A Single Computer with a Multiple User นี่จะเป็นระบบที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมา หรือ mainframe computer ซึ่งมันสามารถจัดการให้ผู้ใช้เป็นร้อยเป็นพันเข้ามาใช้คอมพิวเตอร์พร้อมกันได้ในเวลาเดียวกัน

• Multiple Computer นี่จะเป็นระบบที่เกี่ยวกับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เช่น ระบบเครือข่ายที่บ้านจะมีคอมพิวเตอร์หลายเครื่องติดต่อกัน หรือระบบเครือข่ายขนาดใหญ่จะมีคอมพิวเตอร์เป็นร้อยๆเครื่องติดต่อกันทั่วโลก

• Special-Purpose Computer นี่คือระบบพิเศษที่มีเป้าหมายเฉพาะ เช่นพวกระบบควบคุมเครื่องบินอัติโนมัตของทางทหาร ระบบกระสวยอวกาศ และเป้าหมายเฉพาะอื่นๆ อีกมากมาย

การทำงานของระบบ OS มีหลายอย่างซึ่งประกอบไปด้วย

- การสั่งให้ Hardware ทำงานตามหน้าที่ของมัน
- การติดต่อระหว่างผู้ใช้และ input/output
- การจัดการความแตกต่างในแต่ละระดับของ Hardware
- การจัดการหรือเตรียมการสำหรับระบบหน่วยความจำ
- การจัดระเบียบขั้นตอนการทำงานต่างๆ
- การเตรียมการความสามารถของระบบเครือข่าย
- การควบคุมการเข้าใช้ทรัพยากรของระบบ
- การจัดการกับระบบแฟ้ม

Kernel เป็นชื่อของระบบที่ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของ OS และมันมีหน้าที่ควบคุมขั้นตอนการทำงานที่ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก Kernel เป็นส่วนประกอบที่ขาดไม่ได้ของ OS และเป็นตัวที่คอยบังคับโปรแกรมอื่นๆ

การทำงานทั่วไปของ Hardware

โปรแกรมประยุกต์ทุกโปรแกรมจะต้องมีขั้นตอนการทำงานที่ชัดเจนและเป็นระบบ เช่น
- รับค่าจาก keyboard หรืออุปกรณ์ input แบบอื่น
- นำข้อมูลออกมาจาก disks
- เก็บข้อมูลเข้า disks
- แสดงผลการทำงานออกทางจอภาพหรือเครื่องพิมพ์

ระบบประสานงานกับผู้ใช้และการจัดการ Input/output

เป็นหน้าที่หนึ่งซึ่งนับว่าเป็นส่วนประกอบที่สำคัญมากส่วนหนึ่งของ OS ระบบประสานงานกับผู้ใช้นี้จะอนุญาตให้เข้าใช้ได้ทีละคนและทีละคำสั่งของระบบคอมพิวเตอร์ ระบบการติดต่อกับผู้ใช้ของทั้งระบบ mainframeและเครื่องส่วนบุคคลในรุ่นแรกๆ นี้จะเป็นในลักษณะ command-base ระบบติดต่อกับผู้ใช้ command-baseนี้จะเป็นรูปแบบของการใช้ text command ในการสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามที่เราต้องการ เช่น การใช้ RENAME และ COPY ในการเปลี่ยนชื่อและคัดลอกไฟล์ในตำแหน่งที่เรากำหนด
A graphical user interface (GUI) เป็นการใช้รูปภาพ หรือ icon ในการแสดงผลออกทางหน้าจอ และส่งคำสั่งไปให้ระบบคอมพิวเตอร์แทน ผู้คนส่วนใหญ่จะใช้ระบบ GUI ได้ง่ายกว่าแบบแรกเพราะจะใช้ภาพมาแสดงการทำงานทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น
นอกจากการทำงานของระบบติดต่อกับผู้ใช้(user interface)แล้ว ทุกวันนี้ OS จะจัดการรูปแบบการเข้าใช้ทั้งหมดของคอมพิวเตอร์ การจัดการ Input ประกอบไปด้วยการควบคุม keyboard mouse touchscreen และอุปกรณ์ Input อื่นๆ การจัดการ Output ประกอบไปด้วยการควบคุมจอภาพ printer และอุปกรณ์ output อื่นๆ

ความเป็นอิสระของ Hardware

โปรแกรมประยุกต์จะมีการเรียกใช้ OS โดยการร้องขอบริการการทำงานต่างๆจากมัน ซึ่งรูปแบบนี้เรียกว่า application program interface(API) ซึ่ง programmer จะสามารถใช้ API เพื่อช่วยในการเขียนโปรแกรมโดยที่ไม่ต้องเข้าใจการทำงานของ OS เลยก็ได้
สมมุติว่ามีการพัมนา hardware ตัวใหม่ขึ้นมา ซึ่งสามารถทำงานได้ดีกว่าเดิม ถ้า OS นั้นสามารถใช้ hardwareตัวใหม่นี้ได้ เราก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยน application เพราะมันก็สามารถทำงานได้เลยเหมือนกัน แต่ถ้าไม่มีระบบ API นี้ การพัฒนาโปรแกรมประยุกต์นั้นอาจจะต้องเขียนใหม่อีกครั้งเพื่อให้มันรองรับ hardware ตัวใหม่ได้ด้วย

การจัดการหน่วยความจำ

วัตถุประสงค์ของการจัดการหน่วยความจำก็คือ เราจะควบคุมการเข้าใช้หน่วยความจำและเพิ่มหน่วยความจำให้มีขนาดเพิ่มขึ้นได้อย่างไร OS รุ่นใหม่ๆ จะมีการจัดการหน่วยความจำได้ดีกว่าแบบเก่า ลักษณะของการจัดการหน่วยความจำของ OS ส่วนใหญ่จะอนุญาตให้คอมพิวเตอร์รันชุดคำสั่งของโปรแกรมบนหน่วยความจำอย่างมีประสิทธิผลและรวดเร็ว ทางเดียวที่จะเพิ่มประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์เก่าคือเปลี่ยนระบบปฏิบัติการใหม่และเพิ่มหน่วยความจำ
ระบบปฏิบัติการส่วนมากมีระบบรองรับ Virtual memory ซึ่งเป็นการกำหนดพื้นที่ว่างบน HDD เพื่อใช้สำหรับเก็บข้อมูลที่มาจาก RAM ในกรณีที่หน่วยความจำบน RAM ไม่เพียงพอ Virtual memory ทำงานโดยมันจะตัดการทำงานของโปรแกรมเป็นส่วนๆใน memory แล้วนำไปเปลี่ยนกับพื้นที่บน HDD วิธีการนี้เรียกว่า paging มันจะช่วยลดเวลาที่สูญเสียของ cpu และเพิ่มจำนวนการทำงานได้

ขั้นตอนการทำงาน

การจัดการการทำงานทั้งหมดเป็นหน้าที่ของ Task-management ใน ระบบปฏิบัติการ Task-management จะกำหนดทรัพยากรของคอมพิวเตอร์ให้ใช้ประโยชน์จากระบบให้ได้สูงสุด โปรแกรม Task-management สามารถยอมให้ผู้ใช้ 1 คนทำงานได้หลายงานในเวลาเดียวกัน (multitasking) และอนุญาตให้ผู้ใช้หลายคนทำงานได้พร้อมกันในคอมพิวเตอร์เครื่องเดียวกันได้ (time-sharing)
ระบบปฏิบัติการและความสามารถ Multitasking จะอนุญาตให้ผู้ใช้ทำงานได้มากกว่า 1 งานในเวลาเดียวกันโดยไม่ต้องออกจากโปรแกรมเดิม คุณสามารถทำงานในโปรแกรมหนึ่งและเปลี่ยนไปทำงานอื่นได้อย่างสะดวก และยังสามารถกลับมาทำงานเดิมได้อีก ในขณะที่คุณใช้โปรแกรมหนึ่งอยู่ส่วนนี้จะเป็น foreground และโปรแกรมอื่นก็กำลังทำงานอยู่โดยที่เราไม่เห็น ส่วนนี้จะเป็น background ไม่ว่าการ sorting database การprintเอกสาร หรือการทำงานอื่นๆ
Time-sharing เป็นการอนุญาตให้ผู้ใช้หลายคนสามารถเข้ามาใช้ระบบคอมพิวเตอร์ได้ในเวลาเดียวกัน เช่น พนักงานบริการลูกค้า 15 คนอาจจะเข้ามาในส่วนของข้อมูลสินค้าเพื่อสั่งสินค้าจากบริษัทในเวลาเดียวกัน หรือคน 1000คน อาจจะเข้ามาใช้บริการ online ในการดูราคาสินค้าและข่าวธุรกิจ เป็นต้น
ความสามารถของคอมพิวเตอร์ในการจัดการการเพิ่มขึ้นของผู้ใช้ที่เข้ามาใช้งานพร้อมกันได้อย่างราบรื่น เรียกว่า Scalability คุณลักษณะนี้เป็นส่วนสำคัญของระบบขนาดใหญ่ที่มีการเข้าใช้งานมากๆ เช่น Mainframe หรือ Web server

ความสามารถของระบบเครือข่าย

ระบบปฏิบัติการสามารถจัดการคุณลักษณะและความสามารถซึ่งช่วยผู้ใช้ในการเชื่อมโยงกับระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ได้ เช่น ผู้ใช้ของ Apple computer มีการติดต่อกับเครือข่ายได้โดยตรงผ่านทาง AppleShare และ ระบบปฏิบัติการ Microsoft Window ก็มีความสามารถในการเชื่อมโยงผู้ใช้เข้ากับInternet

การเข้าใช้ทรัพยากรของระบบ

คอมพิวเตอร์มักมีข้อมูลที่เป็น sensitive ซึ่งมีอยู่ทั่วไปในระบบเครือข่าย ระบบปฏิบัติการจำเป็นต้องจัดให้มีความปลอดภัยในระดับสูงเพื่อกันการเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้และจากผู้ที่ไม่มีสิทธิที่จะเข้ามา ตัวอย่าง ระบบปฏิบัติการจะมีขึ้นตอนของการ Login ซึ่งผู้ใช้ที่จะเข้ามาต้องมีการระบุ code และรหัสผ่านที่สัมพันธ์กัน ถ้าการระบุ code ไม่ถูกต้อง ผู้ใช้ก็จะไม่สามารถเข้าใช้งานคอมพิวเตอร์ได้

การจัดการกับระบบแฟ้ม

หน้าที่ของ file-management คือ สามารถหาแฟ้มที่อยู่ในหน่วยความจำรองได้เมื่อจำเป็นที่จะต้องใช้และป้องกันการเข้าถึงจากผู้ไม่มีสิทธิได้ คอมพิวเตอร์ส่วนมากจะมีระบบรองรับที่ผู้ใช้หลายๆคนเก็บแฟ้มไว้ใน disk ส่วนกลาง ระบบปฏิบัติการจะเก็บ track ของแฟ้มแต่ละอันที่อยู่บนหน่วยความจำและเก็บด้วยว่าใครสามารถเข้าไปใช้แฟ้มในส่วนนั้นได้ แม้แต่เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีผู้ใช้เพียงคนเดียวก็จะเป็นที่ต้องเก็บ track เพื่อบอกว่าแฟ้มนั้นอยู่ที่ไหน ขนาดเท่าไร สร้างเมื่อไหร่ และใครเป็นคนสร้างแฟ้มนั้นมาด้วย