วันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2552

Project "เกลียดหนังดี(ดูแล้วอิน)"

หลังจากที่ไม่ได้โพสมานาน ก็ขอกล่าวคำสวัสดีกับเพื่อนที่แวะเข้ามาอ่าน และอาจารย์จงดี หวังว่าสบายดีกันทุกคน ส่วนตัวผมสบายดี วันนี้นึกครึ้มเขียนบทความก็ไม่ใช่เพราะอะไร ก็คนมันกำลังหางาน ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ มีกิจวัตรประจำวันที่ทำเสมอคือออกไปเล่นเทนนิสตอนเย็น ส่วนเวลาอื่นในแต่ละวันก็เรื่อยเปื่อยกันไป แต่อยู่สิ่งหนึ่งที่ผมมักทำในเวลาเรื่อยเปื่อยของผม คือการดูหนัง หมายถึงนั่งดูหนังที่บ้านนะไม่ใช่ที่โรง ผมมีหนัง เยอะ ผมเป็นคนชอบดูหนัง ดูทุกแนว อินดี้ก็ดู อีกอย่างผมอยากฝึกการฟังภาษาอังกฤษด้วย ซึ่งดูจะไม่ค่อยไม่พัฒนาเท่าไหร่ ในช่วงตั้งแต่จบมาผมก็ได้ดูหนังไปหลายเรื่องแต่เรื่องล่าสุดที่ผมดูทำเอาผมอิน ซึ้ง น้ำตาคลอ(เสียเชิงชายเลย แต่อยู่คนเดียวตอดูเลยไม่แคร์) นั้นก็คือเรื่อง Curious case of Benjamin Button หนังเรื่องนี้ผมเห็นมานานแล้วที่บ้านแต่ไม่คิดจะหยิบมาดู แต่ก็รู้ว่ามันเป็นหนังเข้าชิงออสการ์ปีล่าสุดหลายรางวัล วันนั้นเป็นวันที่ฝนตกผมดูหนังมาหลายเรื่องแล้วที่ผ่านมา หนังที่ดูผ่านมาส่วนใหญ่ก็หนังรักๆ หนังวัยรุ่น หนังตลกบ้าง แต่เนื่องจากฝนตกมันเหมือนมีบรรยากาศมาส่งเสริมให้ผมมีอารมณ์เครียด จริงจัง เอารวมๆก็อารมณ์แบบหนังดราม่า หนักๆ จริงจังๆ ชีวิตๆ นั้นทำให้ผมคิดที่จะเลือกหนังแนวดราม่ามาดู ผมนั่งเลือกหนังชั่งใจระหว่างRevo;utionary road กับ Curious case of Benjamin Button และผมก็ตัดสินใจได้ว่าเอาเรื่องหลังและผมก็ไม่ผิดหวังที่เลือกมาดู ผมจะเล่าคร่าวเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ หนังเล่าถึง Benjamin Button เด็กที่เกิดมาแล้วแก่ คือมีร่างกายที่ดูแก่ เค้าถูกพ่อเค้านำมาทิ้งไว้หน้าบ้านพักคนชราแล้วก็มีแม่บ้านมาเห็นเข้าจึงรับเค้าไปเลี้ยงเป็นลูก ชีวิตของBenjaminดำเนินไปผ่านช่วงต่างๆของชีวิต พบเจอกับคนหลากหลาย ได้ข้อคิดต่างๆมากมายในการดำเนินชีวิต ซึ่งระหว่างนั้นร่างกายของเค้าก็ดูจะเด็กลงเรื่อยๆ เหมือนดั่งนาฬิกาที่เดินถอยหลัง โดยรวมหนังเรื่องนีมีโปรดักชั่นที่ดีมาก นักแสดงก็แสดงดีมาก แต่สิ่งหนึ่งที่หนังทำได้ดีมากคือการแฝงข้อคิดไว้ ผมขอยกคำพูดของตัวละครในเรื่องนี้ซึ่งเป็นข้อคิดมาให้ดูกัน "ควินนี่บอกเบนจามินว่า ทุกคนล้วนมุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกัน แต่เดินบนถนนคนละเส้น ชีวิตของเบนจามินอาจดูแปลก แตกต่างจากคนทั่วไป แต่ความสุข ความเศร้า การพบ การสูญเสีย ล้วนไม่ต่างกัน" "กัปตันบอกเบนจามินว่า เราอาจโกรธแค้นให้กับอะไรก็ได้ในโลก แต่เมื่อถึงท้ายสุด ก็ทำได้เพียงปล่อยมันไป" นั้นเป็นเพียงบางส่วนของหนังเรื่องนี้ เมื่อดูหนังเรื่องนี้ทำให้ผมได้ย้อนมองตัวเองว่าที่สุดแล้วชีวิตก็ต้องจากไปทุกคน แต่ต่างกันตรงเวลาที่พบกันมากกว่า การพบกันของผู้คนบางคนผิดหวังบ่อยหน่อย บางคนรักกันยืนยาว แต่ท้ายสุดก็ต้องจากกันไปไม่เหลือแม้เพียงความทรงจำ
หนังเรื่องนี้ทำให้ผมอยากบอกต่อให้เพื่อนหรือคณครูได้ดูกัน เพราะเป็นหนังที่ดีมาก แล้วก็คิดขึ้นได้อีกว่าอยากให้ทุกคนลองมาแบ่งปันหนังที่ทุกคนดูแล้วรู้สึกมีความสุขกับมัน และมาแนะนำให้ดูกันบ้าง โดยผ่านชื่อโปรเจค"เกลียดหนังดี(ดูแล้วอิน)" ผมขอพอแค่นี้ก่อนไปดูหนังต่อและถ้ามีเรื่องไหนโดนใจจะกลับมาโพสใหม่นะครับ

ปล.มีความสุขกับการใช้ชีวิตนะครับ เพราะเวลาที่สำคัญของชีวิตคือการเวลาที่เราพบกันนั้นเอง