วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
วันรับปริญญา มหาวิทยาลัยมหิดล
วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
การทำงาน กับ การเรียนหนังสือ ^_^
วันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2552
Project "เกลียดหนังดี(ดูแล้วอิน)"
วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2552
ความก้าวหน้าของ อาจารย์จงดี
ขอโพสต์จากเมล์ของครู ที่ได้ส่ง อาจารย์ฝรั่งมาให้อ่านนะจ้ะ
ข้อความเมล์มีอยู่ว่า
It has been a long time for sending my progress. Time goes by very fast. It was three years since I left UW-Madison. I have learnt a lot of things during three years. Finally, I found a new way of learning- "contemplative learning". I should say that life is wonderful, happy can be found in everywhere. I have learnt through participation and communication among people: community people, local teachers, students, major-advisor, and co-advisors. I feel very happy to do or play in eveythings with my mind. I do all my best.
After I came back to Thailand, I faced very tough situation about my mom. I have learned from my mom about life, love, sharing, forgiving, and living. The second obstable in my life was the feedbacks from professor without any clues or suggestions. I got only "this is my fault, then my work is too bad". From that situation, I met one of my co-advisor who encouraged me to learn and develop my work. He guided and gave me opportunities for leaning and improving myself and my work. The next lesson for my life, my manuscripts were not accepted. I tried again and again to improve the manuscripts. Finally, my manuscript will be published in JNRLSE Vol. 38, 2009 Title: Guided Inquiry Learning Unit on Aquatic Ecosystems for Seventh Grade Students.
It is difficult to talk about my lesson learnt during pass three years. But I would like to inform all of you that I will not stop learning. I will do my best. I will play any roles with my heart. Finally, I would like to inform you that I will defense my thesis on April 9th, 2009. Hopefully, it will be a good lesson learnt for me. Please send moral support and encourage me.
ปล. มีแปลนะจ้ะ ....
คือว่า ครูเล่าเรื่องของการเดินทาง 3 ปี ตั้งแต่ครูกลับมา, บทความของครูจะได้ตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติ ชื่อ JNRLSE, และครูจะสอบป้องกันวิทยานิพนธืระดับปริญญาเอก วันที่ 9 เมษายน 2552 นี้ .... กรุณาให้กำลังครูด้วยนะจ้ะ (คาดว่าปีนี้ครูจะไปงานรับปริญญาของ KMITL นะจ้ะ แล้วจะใส่ชุดครุยของมหิดล (ป.เอก) ไปถ่ายรูปด้วย ไม่รู้จะมีใครมาถ่ายด้วยไหม น้า)
สุดท้าย ... ให้กำลังใจกับทุกคน ในการเดินทางและการเรียนรู้นะคะ... ใครที่ยังหางานไม่ได้ ... ปรึกษาได้นะจ้ะ
วันเสาร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
เล่าสู่กันฟัง
และแล้วก้อมาถึงเดือนสุดท้ายของการเล่าเรียนในระดับปริญญาตรี
ถ้าถามว่าดีใจมั้ย ... ดีใจนะ แต่อีกใจก้อรู้สึกยังไงไม่รู้ -*-
สุดท้าย ... ฝนขอเก็บบรรยากาศการทำงานในห้องโปรเจค
***************** บรรยากาศการทำงาน ****************
ปล. กรณีรูปความสุขสนาน สมาชิกจัดเซกอย่างเพิ่งคิดว่าจักปกแบ่งแยก
ถึงไม่มีรูปบรรดาสุดหล่อทั้งหลาย แต่ยังไงเราก้อยังรักกันอยู่เนอะ ^o^
วันจันทร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
ลิงกับลา
หญิงชาวบ้านคนหนึ่งอาศัยอยู่คนเดียวในกระท่อม ด้วยความเหงานางจึงหาสัตว์มาเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนสองตัว คือ ลิงและลา วันหนึ่งหญิงชาวบ้านคนนี้ต้องออกไปตลาดเพื่อซื้ออาหาร ก่อนออกจากบ้านเธอได้เอาเชือกมาผูกคอลิง แล้วมัดขาของลาเอาไว้ทั้งสองข้าง เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์เลี้ยงทั้งสองตัวเดินย่ำไปมาในกระท่อมจนทำให้ข้าวของต่างๆ ได้รับความเสียหาย
ทันทีที่หญิงชาวบ้านออกจากบ้านไป ลิงซึ่งมีความฉลาดและแสนซนเป็นคุณลักษณะประจำตัวก็ค่อยๆ คลายปมเชือกออกจากคอของมัน อีกทั้งยังซุกซนไปแก้เชือกมัดขาให้แก่ลาอีกด้วย หลังจากนั้นเจ้าลิงก็กระโดดโลดเต้นห้อยโหนโจนทะยานไปทั่วกระท่อมจนทำให้ข้าว ของต่างๆ ล้มระเนระนาดกระจัดกระจายไปทั่ว อีกทั้งยังซุกซนรื้อค้นเสื้อผ้าของหญิงชาวบ้านมาฉีกกัดจนไม่เหลือชิ้นดี ในขณะที่ลาได้แต่มองดูการกระทำของเจ้าลิงอยู่เฉยๆ
สักครู่หนึ่ง หญิงชาวบ้านคนนี้ก็กลับมาจากตลาด เจ้าลิงมองเห็นเจ้าของเดินมาแต่ไกลจากทางหน้าต่างก็รีบเอาเชือกมาผูกคอตนไว้ อย่างเดิมและอยู่อย่างสงบนิ่ง
ฝ่ายหญิงชาวบ้านเมื่อเปิดประตูกระท่อมเข้ามาเห็นข้าวของของตนถูกรื้อค้น กระจุยกระจายเช่นนั้นก็เกิดโทสะ ขึ้นทันที หันมองลิงและลาเพื่อดูว่าใครเป็นผู้ก่อเรื่อง และเห็นว่าลาไม่มีเชือกผูกขาดังเดิม เธอก็คิดเอาเองว่าเจ้าลานี่เอง คือตัวปัญหา ทำให้กระท่อมของเธอมีสภาพไม่ต่างจากโรงเก็บขยะ ดังนั้นหญิงชาวบ้านจึงวิ่งไปหยิบท่อนไม้นอกบ้านมา ทุบตีลาอย่างรุนแรง ซึ่งเจ้าลาผู้น่าสงสารก็ได้แต่ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดจนสิ้นใจโดยไม่สามารถทำ อะไรได้เลย
เธอทั้งหลาย...(ที่รักของครู ... แต่ไม่เท่ากันนะจ้ะ)
เธอหลายคนคงไม่ค่อยชอบตอนจบของนิทานเรื่องนี้นัก เพราะสงสารเจ้าลาที่ไม่ได้ทำความผิดอะไรแต่กลับถูกเจ้าของทำโทษจนตาย ส่วนเจ้าลิงซึ่งเป็นต้นเหตุแท้ๆ กลับรอดพ้น และไม่ได้รับผลกรรมใดๆ แต่แท้ที่จริงแล้วนิทานเรื่องนี้ ต้องการชี้ให้เห็นถึง ความเป็นผู้นำของหญิงชาวบ้านที่ไม่พิจารณาเหตุการณ์ให้ถ่องแท้ เชื่อแค่สิ่งที่ตนเห็นแล้วลงโทษไปตามความรู้สึกและประสบการณ์ส่วนตัว เธอมองเห็นข้าวของเสียหายและมองเห็นลาที่หลุดออกมาจากเชือก แล้วตัดสินว่า ลาคงเป็นผู้กระทำ แต่ไม่ได้มองว่าลาไม่มีปัญญาจะแก้เชือก และไม่มีนิสัยชอบรื้อทำลาย เธอมองเห็นลิงยังถูกเชือกล่ามอยู่ ก็คิดว่าลิงคงไม่ใช่ผู้กระทำ แต่มองไม่ออกว่าผู้น่าจะแก้ปมเชือกได้และมีนิสัยชอบรื้อทำลายนั้นคือ ลิง ความจริงถ้าเธอรู้จักสำรวจร่องรอยความเสียหายเสียสักเล็กน้อย เธอก็จะพบรอยเท้าและฟันของลิงกระจายไปทั่วห้อง แต่ไม่พบรอยเท้าของลาเลยเพราะลาไม่ได้เคลื่อนที่ไปไหน
เหตุที่องค์กรที่เป็นสังคมเล็กๆ ของเราต้องเหน็ดเหนื่อยทรมานกันอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะความสะเพร่าของผู้นำ ที่ "ปล่อยให้ลิง สร้างปัญหา แต่ลารับเคราะห์" ลาก็เหมือนกับคนที่ปฏิบัติงานได้ตามหน้าที่ แต่ไม่ค่อยมีปากมีเสียง พูดจา ตรงไปตรงมาแต่ไร้เล่ห์เหลี่ยม ลิงก็เหมือนกับคนที่ฉลาดแกมโกง พูดมากพรีเซ็นต์เก่ง อ้างอิงตำราได้สารพัด แต่ไม่เคยทำงานจริง นายที่ดีไม่ควรปล่อยให้ลิงหลงระเริงว่าทำผิดเท่าไหร่นายก็ไม่มีทางรู้ผู้เป็นนายไม่ควรยึดติดความสบาย นั่งขึ้นอืดรอฟังแต่รายงานในห้องประชุม รู้จักยอมเสียสละตน สละเวลา อีกเล็กน้อยเพื่อค้นหาความจริงเพื่อควบคุมเจ้าลิง เพราะไม่เช่นนั้น องค์กรก็จะทุกข์ทรมานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าลิงสงบได้องค์กรก็จะพลอยสบายและมีความสุขอย่างยั่งยืนไปด้วย
ลองเอาบทความนี้ให้อ่านเนื่องจาก เห็นว่า เราจะต้องจัดการกับลิงและลา ในชีวิตประจำวันของเราอย่างมีสตินะจ้ะ และมีความจริงหรือข้อมูล (Data) เป็นพื้นฐานนะคะ อย่าเอาแต่ คิด คิด คิด คิด ว่าเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ ... กระโดดลงไปทำด้วยนะจ้ะ
ด้วยความรักและความปรารถนาดี