วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

วันรับปริญญา มหาวิทยาลัยมหิดล

การเดินทางของอาจารย์จงดี ก็ก้าวไปสู่ความน่ายินดีอีกครั้งหนึ่ง วันที่ 6 ก.ค. 2552 เป็นวันรับปริญญาของมหาวิทยาลัยมหิดล ...

ขอบคุณ ฝน เดฟ ทราย และต่าย ที่เดินทางมาที่ศาลายา โดยมีสารถี แต่งตัวดี เข้ากันทั้งเสื้อผ้า หน้าผม อ้อ ลืมไป รองเท้า เท่ห์ มาก ขอ บอกกกกก

ขอบคุณ กิ๊บ ที่หลบ งานงอก มาแอบถ่ายรูปกับอาจารย์จงดี นะจ้ะ

โพสต์รูปมาให้อิจฉาเล่น

แล้วจะเอาชุดครุยมาถ่ายที่ลาดกระบังนะจ้ะ

อาจารย์ ดร. จงดี โตอิ้ม













วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

การทำงาน กับ การเรียนหนังสือ ^_^

Hello everyone who come and pass, So long time to visit here.I hope you guy will be fine and fighting for your own blind destiny.^_^ I kidding.I know someone has not job to do but don't discourage.By the way,I had not written the article for long time.Just brush up myself and sorry for some mistake.

Firstly,Congratulation to Professor Nok-Jong ^_^.You can reach to your goal which you waiting for long time.You told me not easy to lead to this point.Every step you walk always be the hole which you have to be careful.Sometimes,When you drop : you pain.But you always get up and walk again.I proud to be your pupil and proud to you be my teacher.Thank you for share your experience.Wish you happy with your life.

Next,I want to share my experience too.I am not better than anyone who has job to do.But,The thing I want to tell is how the differrent between working and studing.Responsibility is the most important thing that you must recognize all the time.While you studing,you can beg for sympathy but for real work is not the same.If you be assigned a work you must done it by the time he want you to finish.In the real work,no mistake can happen is other thing which you must recognize because the mistake is the cost of waste.if wastes happen many time that mean more cost that the company have to pay.However,validation before finish work can not be avoided and should do it everytime for reduce your mistake.

Finally,Don't pressure yourself.Nothing you can do at the first time.You will miss the step when you walk but you must get up and walk again.(Like someone did it!!)

Miss you my friend^_^ hope everyone happy.

PS.This article for share experience and brush up my writing.If this article interupt someone,I am so apologize.

วันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2552

Project "เกลียดหนังดี(ดูแล้วอิน)"

หลังจากที่ไม่ได้โพสมานาน ก็ขอกล่าวคำสวัสดีกับเพื่อนที่แวะเข้ามาอ่าน และอาจารย์จงดี หวังว่าสบายดีกันทุกคน ส่วนตัวผมสบายดี วันนี้นึกครึ้มเขียนบทความก็ไม่ใช่เพราะอะไร ก็คนมันกำลังหางาน ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ มีกิจวัตรประจำวันที่ทำเสมอคือออกไปเล่นเทนนิสตอนเย็น ส่วนเวลาอื่นในแต่ละวันก็เรื่อยเปื่อยกันไป แต่อยู่สิ่งหนึ่งที่ผมมักทำในเวลาเรื่อยเปื่อยของผม คือการดูหนัง หมายถึงนั่งดูหนังที่บ้านนะไม่ใช่ที่โรง ผมมีหนัง เยอะ ผมเป็นคนชอบดูหนัง ดูทุกแนว อินดี้ก็ดู อีกอย่างผมอยากฝึกการฟังภาษาอังกฤษด้วย ซึ่งดูจะไม่ค่อยไม่พัฒนาเท่าไหร่ ในช่วงตั้งแต่จบมาผมก็ได้ดูหนังไปหลายเรื่องแต่เรื่องล่าสุดที่ผมดูทำเอาผมอิน ซึ้ง น้ำตาคลอ(เสียเชิงชายเลย แต่อยู่คนเดียวตอดูเลยไม่แคร์) นั้นก็คือเรื่อง Curious case of Benjamin Button หนังเรื่องนี้ผมเห็นมานานแล้วที่บ้านแต่ไม่คิดจะหยิบมาดู แต่ก็รู้ว่ามันเป็นหนังเข้าชิงออสการ์ปีล่าสุดหลายรางวัล วันนั้นเป็นวันที่ฝนตกผมดูหนังมาหลายเรื่องแล้วที่ผ่านมา หนังที่ดูผ่านมาส่วนใหญ่ก็หนังรักๆ หนังวัยรุ่น หนังตลกบ้าง แต่เนื่องจากฝนตกมันเหมือนมีบรรยากาศมาส่งเสริมให้ผมมีอารมณ์เครียด จริงจัง เอารวมๆก็อารมณ์แบบหนังดราม่า หนักๆ จริงจังๆ ชีวิตๆ นั้นทำให้ผมคิดที่จะเลือกหนังแนวดราม่ามาดู ผมนั่งเลือกหนังชั่งใจระหว่างRevo;utionary road กับ Curious case of Benjamin Button และผมก็ตัดสินใจได้ว่าเอาเรื่องหลังและผมก็ไม่ผิดหวังที่เลือกมาดู ผมจะเล่าคร่าวเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ หนังเล่าถึง Benjamin Button เด็กที่เกิดมาแล้วแก่ คือมีร่างกายที่ดูแก่ เค้าถูกพ่อเค้านำมาทิ้งไว้หน้าบ้านพักคนชราแล้วก็มีแม่บ้านมาเห็นเข้าจึงรับเค้าไปเลี้ยงเป็นลูก ชีวิตของBenjaminดำเนินไปผ่านช่วงต่างๆของชีวิต พบเจอกับคนหลากหลาย ได้ข้อคิดต่างๆมากมายในการดำเนินชีวิต ซึ่งระหว่างนั้นร่างกายของเค้าก็ดูจะเด็กลงเรื่อยๆ เหมือนดั่งนาฬิกาที่เดินถอยหลัง โดยรวมหนังเรื่องนีมีโปรดักชั่นที่ดีมาก นักแสดงก็แสดงดีมาก แต่สิ่งหนึ่งที่หนังทำได้ดีมากคือการแฝงข้อคิดไว้ ผมขอยกคำพูดของตัวละครในเรื่องนี้ซึ่งเป็นข้อคิดมาให้ดูกัน "ควินนี่บอกเบนจามินว่า ทุกคนล้วนมุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกัน แต่เดินบนถนนคนละเส้น ชีวิตของเบนจามินอาจดูแปลก แตกต่างจากคนทั่วไป แต่ความสุข ความเศร้า การพบ การสูญเสีย ล้วนไม่ต่างกัน" "กัปตันบอกเบนจามินว่า เราอาจโกรธแค้นให้กับอะไรก็ได้ในโลก แต่เมื่อถึงท้ายสุด ก็ทำได้เพียงปล่อยมันไป" นั้นเป็นเพียงบางส่วนของหนังเรื่องนี้ เมื่อดูหนังเรื่องนี้ทำให้ผมได้ย้อนมองตัวเองว่าที่สุดแล้วชีวิตก็ต้องจากไปทุกคน แต่ต่างกันตรงเวลาที่พบกันมากกว่า การพบกันของผู้คนบางคนผิดหวังบ่อยหน่อย บางคนรักกันยืนยาว แต่ท้ายสุดก็ต้องจากกันไปไม่เหลือแม้เพียงความทรงจำ
หนังเรื่องนี้ทำให้ผมอยากบอกต่อให้เพื่อนหรือคณครูได้ดูกัน เพราะเป็นหนังที่ดีมาก แล้วก็คิดขึ้นได้อีกว่าอยากให้ทุกคนลองมาแบ่งปันหนังที่ทุกคนดูแล้วรู้สึกมีความสุขกับมัน และมาแนะนำให้ดูกันบ้าง โดยผ่านชื่อโปรเจค"เกลียดหนังดี(ดูแล้วอิน)" ผมขอพอแค่นี้ก่อนไปดูหนังต่อและถ้ามีเรื่องไหนโดนใจจะกลับมาโพสใหม่นะครับ

ปล.มีความสุขกับการใช้ชีวิตนะครับ เพราะเวลาที่สำคัญของชีวิตคือการเวลาที่เราพบกันนั้นเอง

วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2552

ความก้าวหน้าของ อาจารย์จงดี

ความรู้สึก ตอนที่ได้อ่าน บล๊อก ของฝนเกี่ยวกับ เรื่องราวการเดินทางของพวกเหล่า 17 เซียน แห่ง SASD08 แล้วรู้สึกดีจัง เลยมีความรู้สึกอยากที่จะแบ่งปันเรื่องราวของ "อาจารย์จง" ให้ฟังบ้าง

ขอโพสต์จากเมล์ของครู ที่ได้ส่ง อาจารย์ฝรั่งมาให้อ่านนะจ้ะ

ข้อความเมล์มีอยู่ว่า

It has been a long time for sending my progress. Time goes by very fast. It was three years since I left UW-Madison. I have learnt a lot of things during three years. Finally, I found a new way of learning- "contemplative learning". I should say that life is wonderful, happy can be found in everywhere. I have learnt through participation and communication among people: community people, local teachers, students, major-advisor, and co-advisors. I feel very happy to do or play in eveythings with my mind. I do all my best.

After I came back to Thailand, I faced very tough situation about my mom. I have learned from my mom about life, love, sharing, forgiving, and living. The second obstable in my life was the feedbacks from professor without any clues or suggestions. I got only "this is my fault, then my work is too bad". From that situation, I met one of my co-advisor who encouraged me to learn and develop my work. He guided and gave me opportunities for leaning and improving myself and my work. The next lesson for my life, my manuscripts were not accepted. I tried again and again to improve the manuscripts. Finally, my manuscript will be published in JNRLSE Vol. 38, 2009 Title: Guided Inquiry Learning Unit on Aquatic Ecosystems for Seventh Grade Students.

It is difficult to talk about my lesson learnt during pass three years. But I would like to inform all of you that I will not stop learning. I will do my best. I will play any roles with my heart. Finally, I would like to inform you that I will defense my thesis on April 9th, 2009. Hopefully, it will be a good lesson learnt for me. Please send moral support and encourage me.

ปล. มีแปลนะจ้ะ ....

คือว่า ครูเล่าเรื่องของการเดินทาง 3 ปี ตั้งแต่ครูกลับมา, บทความของครูจะได้ตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติ ชื่อ JNRLSE, และครูจะสอบป้องกันวิทยานิพนธืระดับปริญญาเอก วันที่ 9 เมษายน 2552 นี้ .... กรุณาให้กำลังครูด้วยนะจ้ะ (คาดว่าปีนี้ครูจะไปงานรับปริญญาของ KMITL นะจ้ะ แล้วจะใส่ชุดครุยของมหิดล (ป.เอก) ไปถ่ายรูปด้วย ไม่รู้จะมีใครมาถ่ายด้วยไหม น้า)

สุดท้าย ... ให้กำลังใจกับทุกคน ในการเดินทางและการเรียนรู้นะคะ... ใครที่ยังหางานไม่ได้ ... ปรึกษาได้นะจ้ะ

วันพุธที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2552




ไม่แน่ใจว่าวันนี้ใช่วันเกิดอาจารย์รึเปล่าแต่คิดว่าใช่นะ
เพื่อนมาอวยพรวันเกิดให้อาจารย์กันเร็ว

วันเสาร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เล่าสู่กันฟัง

สวัสดีอาจารย์ที่เคารพ และเพื่อนๆ ที่รัก ^o^

และแล้วก้อมาถึงเดือนสุดท้ายของการเล่าเรียนในระดับปริญญาตรี
ถ้าถามว่าดีใจมั้ย ... ดีใจนะ แต่อีกใจก้อรู้สึกยังไงไม่รู้ -*-


เอาน่า ... มันก้อต้องเจอกันอยู่อีกแหละเนอะ

อัพเดรตข่าวคราวให้อาจารย์จงรับทราบ

ขณะนี้นักศึกษาที่น่ารักของอาจารย์ทุกคน
ได้ทำการส่งรูปเล่ม(เกือบ)เรียบร้อยแล้วนะค่ะ
การทำโปรแกรมที่ผ่านมาหนักหนาสาหัส ในการแก้โค้ดที่ก๊อบมาจากเพื่อน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุนเดฟ (ตุ้ยเล็ก) ที่เป็นผู้คิดค้นการเขียนในแต่ละระบบ
และต้องขอบคุนคุนแม็กที่อุปการะโด้ด CompensationX
ยังไงก้อไม่กล้าเปลี่ยนชื่อ เพราะกลัวโปรแกรมพัง 555+

แล้วก้อทำให้โปรแกรมของฝนและเพื่อนๆ สำเร็จไปได้ด้วยดี

สุดท้าย ... ฝนขอเก็บบรรยากาศการทำงานในห้องโปรเจค
ที่เต็มไปด้วยความตรึงเครียดสุด ๆ ของนักศึกษา
และภาพความสุขสนานหลังการเสร็จสิ้นภาระกิจ

สุดท้ายอีกรอบ ขอบคุณที่รักกัน นะค่ะ (ชอบมากอ่ะ คำนี้ ^o^)


***************** บรรยากาศการทำงาน ****************



***************** บรรยากาศอันสนุกสนาน ****************

-----------------------------------------------------------------------------------------

ปล. กรณีรูปความสุขสนาน สมาชิกจัดเซกอย่างเพิ่งคิดว่าจักปกแบ่งแยก
ถึงไม่มีรูปบรรดาสุดหล่อทั้งหลาย แต่ยังไงเราก้อยังรักกันอยู่เนอะ ^o^
ปล.2 ฝนไม่สามารถแก้ไขรูปให้มันใหญ่กว่านี้ได้แล้วอ่ะ
อยากได้รูปใหญ่ไปเอาในฮิห้านะ คุนวชัญษา อิอิ

วันจันทร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ลิงกับลา

หญิงชาวบ้านคนหนึ่งอาศัยอยู่คนเดียวในกระท่อม ด้วยความเหงานางจึงหาสัตว์มาเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนสองตัว คือ ลิงและลา วันหนึ่งหญิงชาวบ้านคนนี้ต้องออกไปตลาดเพื่อซื้ออาหาร ก่อนออกจากบ้านเธอได้เอาเชือกมาผูกคอลิง แล้วมัดขาของลาเอาไว้ทั้งสองข้าง เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์เลี้ยงทั้งสองตัวเดินย่ำไปมาในกระท่อมจนทำให้ข้าวของต่างๆ ได้รับความเสียหาย

ทันทีที่หญิงชาวบ้านออกจากบ้านไป ลิงซึ่งมีความฉลาดและแสนซนเป็นคุณลักษณะประจำตัวก็ค่อยๆ คลายปมเชือกออกจากคอของมัน อีกทั้งยังซุกซนไปแก้เชือกมัดขาให้แก่ลาอีกด้วย หลังจากนั้นเจ้าลิงก็กระโดดโลดเต้นห้อยโหนโจนทะยานไปทั่วกระท่อมจนทำให้ข้าว ของต่างๆ ล้มระเนระนาดกระจัดกระจายไปทั่ว อีกทั้งยังซุกซนรื้อค้นเสื้อผ้าของหญิงชาวบ้านมาฉีกกัดจนไม่เหลือชิ้นดี ในขณะที่ลาได้แต่มองดูการกระทำของเจ้าลิงอยู่เฉยๆ

สักครู่หนึ่ง หญิงชาวบ้านคนนี้ก็กลับมาจากตลาด เจ้าลิงมองเห็นเจ้าของเดินมาแต่ไกลจากทางหน้าต่างก็รีบเอาเชือกมาผูกคอตนไว้ อย่างเดิมและอยู่อย่างสงบนิ่ง

ฝ่ายหญิงชาวบ้านเมื่อเปิดประตูกระท่อมเข้ามาเห็นข้าวของของตนถูกรื้อค้น กระจุยกระจายเช่นนั้นก็เกิดโทสะ ขึ้นทันที หันมองลิงและลาเพื่อดูว่าใครเป็นผู้ก่อเรื่อง และเห็นว่าลาไม่มีเชือกผูกขาดังเดิม เธอก็คิดเอาเองว่าเจ้าลานี่เอง คือตัวปัญหา ทำให้กระท่อมของเธอมีสภาพไม่ต่างจากโรงเก็บขยะ ดังนั้นหญิงชาวบ้านจึงวิ่งไปหยิบท่อนไม้นอกบ้านมา ทุบตีลาอย่างรุนแรง ซึ่งเจ้าลาผู้น่าสงสารก็ได้แต่ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดจนสิ้นใจโดยไม่สามารถทำ อะไรได้เลย

เธอทั้งหลาย...(ที่รักของครู ... แต่ไม่เท่ากันนะจ้ะ)

เธอหลายคนคงไม่ค่อยชอบตอนจบของนิทานเรื่องนี้นัก เพราะสงสารเจ้าลาที่ไม่ได้ทำความผิดอะไรแต่กลับถูกเจ้าของทำโทษจนตาย ส่วนเจ้าลิงซึ่งเป็นต้นเหตุแท้ๆ กลับรอดพ้น และไม่ได้รับผลกรรมใดๆ แต่แท้ที่จริงแล้วนิทานเรื่องนี้ ต้องการชี้ให้เห็นถึง ความเป็นผู้นำของหญิงชาวบ้านที่ไม่พิจารณาเหตุการณ์ให้ถ่องแท้ เชื่อแค่สิ่งที่ตนเห็นแล้วลงโทษไปตามความรู้สึกและประสบการณ์ส่วนตัว เธอมองเห็นข้าวของเสียหายและมองเห็นลาที่หลุดออกมาจากเชือก แล้วตัดสินว่า ลาคงเป็นผู้กระทำ แต่ไม่ได้มองว่าลาไม่มีปัญญาจะแก้เชือก และไม่มีนิสัยชอบรื้อทำลาย เธอมองเห็นลิงยังถูกเชือกล่ามอยู่ ก็คิดว่าลิงคงไม่ใช่ผู้กระทำ แต่มองไม่ออกว่าผู้น่าจะแก้ปมเชือกได้และมีนิสัยชอบรื้อทำลายนั้นคือ ลิง ความจริงถ้าเธอรู้จักสำรวจร่องรอยความเสียหายเสียสักเล็กน้อย เธอก็จะพบรอยเท้าและฟันของลิงกระจายไปทั่วห้อง แต่ไม่พบรอยเท้าของลาเลยเพราะลาไม่ได้เคลื่อนที่ไปไหน

เหตุที่องค์กรที่เป็นสังคมเล็กๆ ของเราต้องเหน็ดเหนื่อยทรมานกันอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะความสะเพร่าของผู้นำ ที่ "ปล่อยให้ลิง สร้างปัญหา แต่ลารับเคราะห์" ลาก็เหมือนกับคนที่ปฏิบัติงานได้ตามหน้าที่ แต่ไม่ค่อยมีปากมีเสียง พูดจา ตรงไปตรงมาแต่ไร้เล่ห์เหลี่ยม ลิงก็เหมือนกับคนที่ฉลาดแกมโกง พูดมากพรีเซ็นต์เก่ง อ้างอิงตำราได้สารพัด แต่ไม่เคยทำงานจริง นายที่ดีไม่ควรปล่อยให้ลิงหลงระเริงว่าทำผิดเท่าไหร่นายก็ไม่มีทางรู้ผู้เป็นนายไม่ควรยึดติดความสบาย นั่งขึ้นอืดรอฟังแต่รายงานในห้องประชุม รู้จักยอมเสียสละตน สละเวลา อีกเล็กน้อยเพื่อค้นหาความจริงเพื่อควบคุมเจ้าลิง เพราะไม่เช่นนั้น องค์กรก็จะทุกข์ทรมานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าลิงสงบได้องค์กรก็จะพลอยสบายและมีความสุขอย่างยั่งยืนไปด้วย

ลองเอาบทความนี้ให้อ่านเนื่องจาก เห็นว่า เราจะต้องจัดการกับลิงและลา ในชีวิตประจำวันของเราอย่างมีสตินะจ้ะ และมีความจริงหรือข้อมูล (Data) เป็นพื้นฐานนะคะ อย่าเอาแต่ คิด คิด คิด คิด ว่าเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ ... กระโดดลงไปทำด้วยนะจ้ะ

ด้วยความรักและความปรารถนาดี