วันพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2551

วัดกันหมัดต่อหมัด Intel vs Amd

จั่วหัวมาอย่างนี้ก็ไม่ใช่อะไร ว่างมากขี้เกียจอ่านหนังสือ เลยหาอะไรมาลงเล่นๆ

ก็เป็นที่รู้ๆกันอยู่ ปัจจุบันค่ายผู้ผลิต cpu ใหญ่ๆก็มีอยู่ด้วยกัน 2 ค่าย ตามตลาด

ปัญหาก็ตกอยู่กับผู้บริโภคอย่างเราจะซื้อของอะไรดีนะ หันไปไหนเปิดทีวี ก็เห็นแต่โฆษณา Intel

ทั้งนั้นเลย มันดีจริงหรือ? แล้ว Amd มันมีอะไรดี

แต่เท่าที่ดูราคาในตลาดตอนนี้ Amd ถือว่าต่ำมากๆ ถ้าเทียบกับ Intel ส่วนตัวคิดว่าเพราะการตลาด

และสถาปัตบกรรมที่นำมาใช้ แต่ในระดับ แค่อย่างพวกเราซื้อไปลง PC หรือ Notebook ควรจะอยู่ในระดับ

ไหนดี ก็ขอแนะนำ เว็บนี้เลยครับ

http://www.tomshardware.com/charts/cpu-charts-2008-q1-2008/3DMark06-CPU,370.html

เรียกว่าเทียบให้ดูกันไปเลย ในแต่ละรุ่นระหว่างของทั้ง 2 ค่าย แต่ยังไงก็ตามก็ขึ้นอยู่กับทุนในกระเป๋าด้วยนะ

ครับ

ส่วนตัวของผมหลังจากที่ได้ศึกษามาในระดับหนึ่งก็พอรู้คร่าวๆ โดยมีความคิดว่า ถ้างบน้อยเล่น Amd งบ

เยอะ เล่น Intel หุหุ ตั้งแต่ซื้อคอมพิวเตอร์มา cpu ผมใช้ Amd หมดเลย ความชอบส่วนตัว เพราะเคยไป

อ่าน review อีตาหรั่งคนนึงบอกประมาณว่า เค้าทดลองเปรียบเทียบแล้ว Amd ทำงานด้าน multimedia

ได้ดีกว่า Intel จริงเท็จอย่างไรก้ไม่รู้ แต่ราคามันถูกกว่าเยอะมาก ในรุ่นต่ำๆหน่อย

สุดท้ายนี้ก้อยากแนะนำเพื่อนๆให้ลองเข้าไปศึกษาที่ http://www.tomshardware.com นะครับ ได้ความรู้

เยอะมากๆ แต่ติดตรงภาษาเนี้ยสิ ใครว่างๆไปอ่านแล้วมาแปลพวก บทความให้อ่านมั่งนะ ดีดี ทั้งนั้นเลย

วันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2551

มาฝึกตัวเองให้เป็นคนมีปัญหา เอ้ย! ปัญญาดีกว่านะพี่น้อง


ลองทำกันดูนะพี่น้อง


1. ฝึกสังเกต
สังเกตในสิ่งที่เราเห็น หรือสิ่งแวดล้อม เช่น ไปดูนก ดูผีเสื้อ หรือในการทำงาน การฝึกสังเกตจะทำให้เกิดปัญญามาก โลกทรรศน์ และวิธีคิด สติ-สมาธิ จะเข้าไปมีผลต่อการสังเกตและสิ่งที่สังเกต
2. ฝึกบันทึก
เมื่อสังเกตอะไรแล้วควรฝึกบันทึก โดยจะวาดรูปหรือบันทึกข้อความ ถ่ายภาพ ถ่ายวีดิโอ ละเอียดมากน้อยตามวัยและตามสถานการณ์ การบันทึกเป็นการพัฒนาปัญญา
3. ฝึกการนำเสนอต่อที่ประชุมกลุ่ม
เมื่อมีการทำงานกลุ่ม เราไปเรียนรู้อะไรมา บันทึกอะไรมา จะนำเสนอให้เพื่อนหรือครูรู้เรื่องได้อย่างไร ก็ต้องฝึกการนำเสนอ การนำเสนอได้ดีจึงเป็นการพัฒนาปัญญาทั้งของผู้นำเสนอและของกลุ่ม
4. ฝึกการฟัง
ถ้ารู้จักฟัคนอื่นก็จะทำให้ฉลาดขึ้น โบราณเรียกว่าเป็นพหูสูต บางคนไม่ได้ยินคนอื่นพูด เพราะหมกมุ่นอยู่ในความคิดของตนเอง หรือมีความฝังใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่งจนเรื่องอื่นเข้าไม่ได้ ฉันทะ สติ สมาธิ จะช่วยให้ฟังได้ดีขึ้น
5. ฝึกปุจฉา-วิสัชนา
เมื่อมีการนำเสนอและการฟังแล้ว ฝึกปุจฉา-วิสัชนา หรือถาม-ตอบ ต้องเป็นการฝึกใช้เหตุผล วิเคราะห์ สังเคราะห์ ทำให้เกิดความแจ่มแจ้งในเรื่องนั้น ๆ ถ้าเราฟังครูโดยไม่ถาม-ตอบ ก็จะไม่แจ่มแจ้ง
6. ฝึกตั้งสมมติฐานและตั้งคำถาม
เวลาเรียนรู้อะไรไปแล้วเราต้องสามารถตั้งคำถามได้ว่าสิ่งนี้คืออะไร สิ่งนั้นเกิดจากอะไร อะไรมีประยชน์ ทำอย่างไร จะสำเร็จประโยชน์อันนั้น และมีการฝึกการตั้งคำถาม ถ้ากลุ่มช่วยกันคิดคำถามที่มีคุณค่าและมีความสำคัญ ก็จะอยากได้คำตอบ
7. ฝึกการค้นหาคำตอบ
เมื่อมีคำถามแล้วก็ควรไปค้นหาคำตอบจากหนังสือ จากตำรา จากอินเตอร์เน็ต หรือไปคุยกับคนเฒ่าคนแก่ แล้วแต่ธรรมชาติของคำถาม การค้นหาคำตอบต่อคำถามที่สำคัญจะสนุก และทำให้ได้ความรู้มาก ต่างจากการท่องหนังสือโดยไม่มีคำถาม บางคำถามเมื่อค้นหาคำตอบ ทุกวิถีทางจนหมดแล้วก็ไม่พบ แต่คำถามยังอยู่ และมีความสำคัญ ต้องหาคำตอบต่อไปด้วยการวิจัย
8. การวิจัย
การวิจัยเพื่อหาคำตอบเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ทุกระดับ การวิจัยจะทำให้ค้นพบความรู้ใหม่ ซึ่งจะทำให้เกิดความภูมิใจ สนุก และมีประโยชน์มาก
9. เชื่อมโยงบูรณาการ
ให้เห็นความเป็นทั้งหมดและเห็นตัวเอง ธรรมชาติของสรรพสิ่งล้วนเชื่อมโยง เมื่อเรียนรู้อะไรมาอย่าให้ความรู้นั้นแยกเป็นส่วน ๆ แต่ควรจะเชื่อมโยงเป็นบูรณาการให้เห็นความเป็นทั้งหมด ในความเป็นทั้งหมดจะมีความงาม และมีมิติอื่นผุดบังเกิดออกมาเหนือความเป็นส่วน ๆ และในความเป็นทั้งหมดนั้นมองให้เห็นตัวเอง เกิดการรู้ตัวเองตามความเป็นจริง ว่าสัมพันธ์กับความเป็นทั้งหมดอย่างไร จริยธรรมอยู่ที่ตรงนี้ คือการเรียนรู้ตัวเองตามความเป็นจริง ว่าสัมพันธ์กับความเป็นทั้งหมดอย่างไร ดังนั้น ไม่ว่าการเรียนรู้อะไร ๆ ก็มีมิติทางจริยธรรมอยู่ในนั้นเสมอ มิติทางจริยธรรมอยู่ในความเป็นทั้งหมดนั่นเอง ต่างจากการเอาจริยธรรมไปเป็นวิชา ๆ หนึ่งแบบแยกส่วนแล้วก็ไม่ค่อยได้ผล ในการบูรณาการความรู้ที่เรียนรู้มาให้รู้ความเป็นทั้งหมดและเห็นตัวอย่างนี้ จะนำไปสู่อิสระภาพและความสุขอันล้นเหลือ เพราะหลุดพ้น จากความบีบคั้นของความไม่รู้ การไตร่ตรองนี้จะโยงกลับไปสู่วัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ที่ว่าเพื่อลดตัวกู-ของกู และเพื่อการอยู่ร่วมกัน อย่างสันติ อันจะช่วยกำกับให้การแสวงหาความรู้เป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าว มิใช่เป็นไปเพื่อความกำเริบแห่งอหังการ-มมังการ และเพื่อรบกวนการอยู่ร่วมกันด้วยสันติ
10. ฝึกการเขียนเรียบเรียงทางวิชาการ
ถึงกระบวนการเรียนรู้และความรู้ใหม่ที่ได้มา การเรียบเรียงทางวิชาการเป็นการเรียบเรียงความคิดให้ประณีตขึ้น ทำให้ค้นคว้าหาหลักฐาน ที่มาที่อ้างอิงของความรู้ให้ถี่ถ้วนแม่นยำขึ้น การเรียบเรียงทางวิชาการจึงเป็นการพัฒนาปัญญาของตนเองอย่างสำคัญและเป็นประโยชน์ ในการเรียนรู้ของผู้อื่นในวงกว้างออกไป



ผมก็ว่าจะลองทำนะพักนี้ดูด้อยปํญญาไงก็ไม่รู้ หุหุ

วันเสาร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2551

9 ลักษณะของประเทศที่ขาดแคลนความคิดสร้างสรรค์ แต่เป็นประเทศไหนไปคิดเอาเองนะ


บทความนี้อ้างอิงจาก หนังสือพิมพ์มติชน เดือนมกราคม 2542

1. การเมืองของประเทศนี้ วนเวียนอยู่กับการใส่ร้ายป้ายสีด่าทอกัน นักการเมืองประเทศนี้จึงมีฝีปากกล้า ปัญญาด้อย เพราะมัวเสียเวลา ไปขุดคุ้ยหาเรื่องด่า จนไม่ค่อยมีเวลาคิดสร้างสรรค์พัฒนาบ้านเมือง
2. ละครประเทศนี้ ทุก ๆ สิบปี จะต้องมีบ้านทรายทอง ดาวพระศุกร์ และสลักจิต วนกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกคนละครั้งสองครั้งเสมอ ไม่เชื่อไปถามนางสาวทองสร้อยดูได้
3. แฟชั่นของประเทศนี้ เน้นที่ยี่อห้อที่กำลังได้รับความนิยมในสังคมชั้นสูง สังเกตง่าย คนในประเทศนี้ เวลาออกไปไหนจะแต่งกาย ด้วยเสื้อผ้า กระเป๋า และรองเท้ายี่ห้อเดียวกันทั้งกลุ่ม
4. วงการเพลงของประเทศนี้ มีประวัติศาสตร์มายาวนาน ในการลอกเลียนทำนองเพลงของประเทศอื่น ๆ จนปัจจุบัน ได้ลามไปถึงการ ลอกมิวสิควีดีโอ ลอกเครื่องแต่งกาย ทรงผม ท่าเต้น ปกเทป ฯลฯ
5. การแจกรางวัลในประเทศนี้ ทั้งรางวัลของวงการบันเทิง หรือโฆษณาจะนิยมแจกกันงานละไม่ต่ำกว่า 4 - 5 โหล ทั้ง ๆ ที่มีผู้คิดสร้างสรรค์ อะไรใหม่ ๆ ขึ้นจริง ๆ ไม่ถึง 4 - 5 ราย
6. ในวงการโฆษณาที่ว่าเป็นแหล่งรวมนักคิดชั้นนำของประเทศนี้ ยังคงใช้วิธีเปิดหนังสือ และวีดีโอหนังโฆษณาของประเทศอื่น ๆ เพื่อก็อปปี้ เลียนแบบในประเทศนี้
7. นักศึกษาหญิงในคณะที่คะแนนสอบสูง ๆ ของประเทศนี้มีค่านิยมอยากทำงานเสิร์ฟบริการคนประเทศอื่นบนเครื่องบินมากกว่าอยากทำงาน ที่ได้ใช้สติปัญญาและความคิดสร้างสรรค์
8. เชียร์ลีดเดอร์ของประเทศนี้ ยังคงภูมิอกภูมิใจกับท่าเต้นเดิม ๆ โดยเฉพาะเชียร์ลีดเดร์ของสองมหาวิทยาลัยที่ได้ชื่อว่าดีที่สุดในประเทศ ป้าคนที่เป็นเชียร์ลีดเดอร์รุ่นหนึ่งหลังสงครามโลก ก็ยังสามารถเต้นเข้าจังหวะกับทีมเชียร์ลีดเดอร์น้องใหม่รุ่นปัจจุบันได้ สันนิษฐานว่า คงมีคำสาปมาจากคุณป้ารุ่นแรกว่า ถ้าใครคิดสร้างสรรค์ท่าอะไรขึ้นมาใหม่ ๆ มันผู้นั้นจะต้องมีอันเป็นไป
9. ชื่อของประเทศนี้ ได้รับการตีพิมพ์บ่อยครั้งในกินเนสส์บุ๊คว่าเป็นเจ้าของสถิติที่สุดในโลกในด้านที่ไม่สร้างสรรค์อยู่มากมาย เช่น ไข่เจียวยักษ์ ธูปยักษ์ และล่าสุดจานบินทรงเจดีย์ยักษ์


โรคติด "อินเทอร์เน็ต"

อินเตอร์เน็ตเป็นเทคโนโลยีอย่างหนึ่ง ซึ่งก็เช่นเดียวกับเทคโนโลยีอื่นที่มนุษย์ประดิษฐ์คิดค้นขึ้น คือมีทั้งข้อดีและข้อเสีย นอกเหนือไปจากเรื่องไม่ดีไม่งามต่าง ๆ ที่หลั่งไหลมากับสื่อชนิดนี้ ไม่ว่าจะเป็นภาพลามกอนาจาร ไวรัส การพนัน หรืออะไรร้าย ๆ ทำนองนี้แล้ว แม้แต่คนเล่นเว็บที่เลือกชมแต่สิ่งดี ๆ ก็อาจจะมีปัญหาได้เหมือนกัน
เนื่องจากในสังคมอเมริกันมีคนใช้อินเตอร์เน็ตเป็นจำนวนมาก และนับวันก็จะเพิ่มขึ้น ดังนั้น เขาจึงเกิดความเป็นห่วงกันว่า เทคโนโลยีใหม่นี้จะส่งผลกระทบอะไรต่อสภาพจิตใจคนบ้างหรือเปล่า ดังนั้นนาย David Greenfield นักวิจัยและนักจิตบำบัด จึงได้ร่วมกับสำนักข่าว ABC News ทำการสำรวจความรู้สึกและสภาพจิตใจของผู้ใช้อินเตอร์เน็ตจำนวนมากถึง 17,251 ราย ผ่านทางเว็บไซท์ www.abcnews.com ซึ่งถือเป็นการศึกษากลุ่มผู้ใช้อินเตอร์เน็ตครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยทำกันมา และได้นำเสนอผลงาน ครั้งนี้ในที่ประชุมประจำปีของสมาคมจิตเวชอเมริกัน (American Psychological Association) เมื่อเดือนสิงหาคม (2542) ที่ผ่านมานี้เอง
ผลการศึกษาครั้งนี้ดูเหมือนจะสนับสนุนแนวความคิดที่กำลังเป็นที่ยอมรับกันมากขึ้นว่า ความอยากใช้อินเตอร์เน็ตอย่างไม่อาจหักห้ามใจตัวเอง หรือเราอาจเรียกว่า "โรคติดเน็ต" นั้น เป็นปัญหาทางจิตอย่างหนึ่ง และเป็นปัญหาที่มีอยู่จริง
แบบสอบถามที่ใช้ในการสำรวจครั้งนี้ Greenfield ปรับปรุงมาจากแบบสอบถามที่ใช้กับผู้ติดการพนัน ซึ่งถ้าผู้ถูกสำรวจตอบ "ใช่" มากกว่า 5 ข้อจากเกณฑ์ 10 ข้อ ก็จะถูกประเมินว่ามีอาการติดอินเตอร์เน็ต ปรากฏว่ามีผู้อยู่ในเกณฑ์นี้ 990 รายจากผู้ตอบทั้งหมด หรือ ประมาณ 5.7 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถ้าคิดว่าประชากรที่ใช้อินเตอร์เน็ตทั่วโลกมีประมาณ 200 ล้านราย ก็หมายความว่าอาจจะมีผู้ติดเน็ตถึง 11.4 ล้านคนทีเดียว
Greenfield กล่าวว่า "ในฐานะนักบำบัด ผมพบผู้ป่วยทั้งประเภทที่ครอบครัวแตกแยก, เด็ก ๆ มีปัญหา, พวกที่ทำผิดกฏหมาย และ พวกที่กำลังใช้เงินมากเกินไป
อย่างไรก็ดีจำนวน 5.7 เปอร์เซ็นต์ที่มีปัญหานั้น ก็จัดว่ายังน้อยเมื่อเทียบกับการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ ที่คิดว่ามีประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ หรือมากกว่า ซึ่งเป็นผลมาจากการสำรวจของนักเรียนระดับวิทยาลัย นอกจากนี้การสำรวจยังทำผ่านเว็บไซท์เพียงแห่งเดียว และแบบสอบถาม ยังอยู่ติดกับหัวข้อข่าวเรื่องการติดอินเทอร์เน็ตด้วย ดังนั้นผู้ที่ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่จึงอาจมีแนวโน้มของอาการนี้อยู่แล้วก็ได้ ซึ่งจะทำให้ผลสำรวจเบี่ยงเบนไปบ้าง
สำหรับผลสรุปอื่น ๆ ที่น่าสนใจจากการสำรวจครั้งนี้ก็เช่น
1 ใน 4 บองนักเล่นเว็บยอมรับว่าใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อบรรเทาความรู้สึกตกต่ำ, สิ้นหวัง, สำนึกผิด และความกลุ้มใจ 1 ใน 7 ยอมรับว่ามีความรู้สึกหมกมุ่นถึงอินเตอร์เน็ตระหว่างที่ไม่ได้เล่น 1 ใน 7 เช่นกัน บอกว่าเคยพยายามจำกัดการใช้ แต่ล้มเหลว 1 ใน 14 มีความรู้สึกกระวนกระวายและหงุดหงิดเมื่อพยายามจะลดการเล่น 1 ใน 25 ตอบว่าตนสูญเสียงาน โอกาสทางวิชาชีพ หรือความสัมพันธ์ที่สำคัญเพราะนิสัยการเล่นอินเตอร์เน็ต

iPod Nano

ประกาศ สำหรับผู้ที่อยากได้ iPod (มายั่วน้ำลายหลายๆคน...เหอๆ)

สำหรับ iPod Nano รุ่นใหม่จะมีความจุ 8GB มาพร้อมกับคุณสมบัติการทำงานที่เรียกว่า “Shake to shuffle” ซึ่งใช้เทคโนโลยีเซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหว ทำให้ผู้ใช้สามารถเขย่า เพื่อเปลี่ยนเพลงที่เล่น โดยการสุ่มเลือกได้ทันที เช่นเดียวกับ iPhone
ในงานแถลงข่าว จอบส์ยังได้เปิดตัว iPod Touch เวอร์ชันใหม่ที่มีความบางเฉียบอีก 3 รุ่น โดยทั้งหมดจะวางตลาดต้นสัปดาห์หน้า ซึ่งได้แก่รุ่นความจุ 8GB (229 เหรียญฯ), 16GB (299เหรียญฯ) และ 32GB (399เหรียญฯ)

นอกจากเรื่องของความบางแล้ว iPod Nano รุ่นใหม่ยังมีหน้าจอที่ยาวขึ้น สามารถรับชมคลิปภาพยนต์ไวด์สกรีนในอัตราส่วน 16:9 ได้ สนนราคาสำหรับรุ่น 8GB จะอยู่ที่ 149 เหรียญฯ หรือประมาณ 5,000 บาท และ 199 เหรียญฯ หรือประมาณ 7,000 บาทสำหรับรุ่น 16GB โดยจะวางตลาดในสหรัฐฯ ช่วงสุดสัปดาห์นี้




“รถยนต์ต้นแบบเซลล์เชื้อเพลิงที่ใช้พลังงานไฮโดรเจนจากน้ำ”

ตอนแรกที่เห็นรูปรถ ก็สะดุดตา น่ารักดี แต่ยิ่งอ่านสรรพคุณแล้ว ยิ่งสุดยอดไปเลยคร๊าบ พี่น้อง....

“รถยนต์ต้นแบบเซลล์เชื้อเพลิงที่ใช้พลังงานไฮโดรเจนจากน้ำ” คันแรกที่เป็นฝีมือของนักประดิษฐ์ชาวไทย คือ พลอากาศโท มรกต ชาญสำรวจ โดยใช้ชื่อว่า Thai Fuel cell Car หรือเรียกสั้น ๆ ว่า “ไทยคาร์”

โดยมีแนวคิดที่จะต้องพัฒนาเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel cell) เพิ่มเติมอีก 6-7 ชุด เพื่อใช้งานกับรถยนต์ 4 ที่นั่ง รถกระบะปิกอัพและรถมินิบัส รวมถึงจะต้องสร้างปั๊มที่ผลิตไฮโดรเจนจากการแยกน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์หรือโซลาร์เซลล์ซึ่งเป็นพลังงานสะอาดอีกด้วย

ด้านปั๊มผลิตไฮโดรเจน เบื้องต้นกำหนด ไว้ 2 แบบคือ ปั๊มผลิตไฮโดรเจนในบ้านสำหรับใช้เอง น้ำแค่ 1 ลิตรแยกไฮโดรเจนได้ถึง 12,000 ลิตร เพียงพอสำหรับการขับรถในชีวิตประจำวันของคนกรุงเทพฯ แถมได้ก๊าซออกซิเจน ช่วยให้อากาศสดชื่นอีกด้วย ส่วนปั๊มแบบที่สองเป็นปั๊มสาธารณะ จะมีการชักชวนให้ปั๊มน้ำมันติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคาเพื่อใช้กับเครื่องแยกน้ำเพื่อผลิตไฮโดรเจนจำหน่าย

ราคารถต้นแบบกว่า 2 ล้านบาท โดยคิดเป็นค่าผลิตตัวรถไม่ถึง 2 แสนบาท แต่ที่แพงคือค่าเซลล์เชื้อเพลิงหรืออุปกรณ์แปลงพลังงานจากก๊าซไฮโดรเจนให้เป็นไฟฟ้า สูงเกือบ 2 ล้านบาท แม้จะผลิตเองได้แต่ก็ยังมีราคาสูงเพราะทำเป็นจำนวนน้อย หากมีการผลิตจำนวนมาก ผู้วิจัยบอกว่าถูกลงแน่นอน
ผู้วิจัยบอกว่า อยากให้คนไทยได้ใช้เร็วที่สุด ปีหน้าคงได้เห็นภาพชัดเจนขึ้น

"หมวกอ่านความคิด"


เราสามารถควบคุมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ได้เพียงแค่คิด(ไม่ได้เป็นแค่ในหนังแล้ว) เครื่องต้นแบบมาในรูปหมวกอ่านคลื่นสมองอัจฉริยะ เตรียมนำไปใช้เป็นรีโมททีวีแห่งโลกอนาคตที่ทำให้ผู้ใช้เปิด ปิด และเปลี่ยนช่องทีวีได้โดยใช้ความคิดเท่านั้น ส่วนในอนาคตคาดว่าจะสามารถนำมาประยุกต์ใช้แทนคีย์บอร์ด และใช้ในอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆได้ เช่นโคมไฟ เป็นต้น

เทคโนโลยีนี้มีชื่อว่า "brain-machine interface" พัฒนาโดยฮิตาชิ (Hitachi Inc.) ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สัญชาติญี่ปุ่น โดยวิศวกรผู้ออกแบบอธิบายแนวคิดการทำงานของเทคโนโลยีนี้ว่าเป็นการเปลี่ยนระบบไหลเวียนเลือดและรูปแบบการเคลื่อนที่ของสมองให้ออกมาในรูปสัญญาณไฟฟ้า ซึ่งจากการสาธิตพบว่าความคิดสามารถทำให้รถไฟของเล่นระบบคอมพิวเตอร์เคลื่อนที่ได้จริง แต่ยังมีข้อบกพร่องเรื่องความเสถียร เนื่องจากจากผู้ใช้หยุดความคิด หรือแม้แต่เผลอร้องเพลง รถไฟก็จะหยุดลงด้วยเช่นกัน

ตอนนี้ยังไม่มีรายงานว่าเป้าหมายการพัฒนาในอนาคต รวมถึงเป้าหมายการวางตลาดเทคโนโลยีนี้นะจ๊ะ

วันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2551

ประกาศ....เว็บนี้จะไม่ถูกปิด

เรียน นักศึกษา วิชา SA & SD ที่รักของอาจารย์จงดี ทุกท่าน..... 55555 หวานซ้า


เนื่องด้วยมีคนอยากทราบว่า Web นี้ จะถูกปิดหรือไม่อย่างไร ... ครูขอแจ้งให้ทราบว่า ไม่ปิด ค้า ยังสามารถใช้งานได้อย่างปกติ .... Class ของเรายังคงอยู่ เช่นเดียวกับมิตรภาพของเรายังคงยั่งยืน นะจ้ะ...


เรื่องของรายงานและ Comments อาจารย์จะพยายามใช้เวลาในการอ่าน และ Comments โดยเร็วที่สุด นะเจ้าคะ


ด้วยความรักและปรารถนาดีต่อลูกศิษย์ที่รัก ทุก คน .....


อาจารย์จงดี

วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2551

เอามาดูกันขำๆ คลายเคลียด


23 ข้อเพื่อเป็น "เว็บไซต์เป็นที่ดึงดูด"

เป็นกฎง่ายๆ ที่บางครั้งเหมือนเส้นผมบังภูเขา ทำตามได้ไม่ยาก เพื่อให้เว็บไซต์เป็นที่ดึงดูดของผู้ใช้มากที่สุด
กฎ 23 ข้อดังต่อไปนี้ เป็นการวิจัยของ 3 สถาบัน ได้แก่ The Poynter Institute, the Estlow Center for Journalism & New Media, และ Eyetools ภายใต้โครงการ “The Eyetrack III” ซึ่งศึกษาถึงกลยุทธ์การออกแบบเว็บไซต์เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ใช้ให้มากที่สุด


1. ตัวอักษรดึงดูดความสนใจได้เร็วกว่าภาพหรือกราฟฟิค
2. จุดแรกที่สายตามองคือ มุมซ้ายบนของหน้าเว็บ
3. ผู้ใช้จะมองไปที่มุมซ้ายบนของเว็บไซต์ ก่อนที่จะเลื่อนสายตาลงมาด้านล่างขวาเรื่อยๆ
4. ผู้ใช้ส่วนใหญ่ไม่สนใจมองแบนเนอร์โฆษณา
5. รูปแบบเว็บไซต์และตัวอักษรที่มีสีสันสะดุดตา มักไม่ได้รับความสนใจจากผู้ใช้
6. แสดงข้อมูลเป็นตัวเลข จะดึงดูดสายตามากกว่าเขียนเป็นตัวอักษร
7. ขนาดตัวอักษรมีผลต่อพฤติกรรมการใช้เว็บ โดยตัวอักษรเล็กๆ จะทำให้คนอ่านอย่างละเอียด ขณะที่ตัวอักษรใหญ่ ทำให้คนมองเป็นอันดับแรก
8. คนส่วนใหญ่อ่านพาดหัวรอง ในกรณีที่น่าสนใจจริงๆ

9. คนมักจะอ่านส่วนล่างของหน้าเว็บแบบผ่านๆ
10. ประโยคหรือย่อหน้าสั้นๆ ดึงดูดความสนใจของคนอ่านมากกว่า
11. รูปแบบเว็บไซต์ที่มีแถวแนวตั้งแถวเดียว ดึงดูดสายตามากกว่าหลายแถว
12. แบนเนอร์โฆษณาที่อยู่บริเวณบนสุดและซ้ายสุด จะดึงดูดสายตามากที่สุด
13. การวางโฆษณาใกล้กับคอนเทนท์ที่ดีที่สุด จะได้รับความสนใจจากผู้ใช้ค่อนข้างมาก
14. โฆษณาแบบตัวอักษรได้รับความสนใจมากกว่าโฆษณาแบบภาพหรือกราฟฟิค
15. ภาพยิ่งใหญ่ ยิ่งดึงดูดความสนใจได้มาก

16. ภาพที่ชัด ดูง่าย และถ่ายบุคคลจริงๆ จะได้รับความสนใจจากคนดู มากกว่าภาพประเภทดีไซน์จัดๆ ภาพนามธรรม (abstract) หรือภาพนายแบบ-นางแบบ
17. หน้าเว็บไซต์ก็เหมือนหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ เพราะฉะนั้น พาดหัวจะได้รับความสนใจมากที่สุด
18. คนส่วนใหญ่มักจะสนใจหัวข้อและเมนูต่างๆ ในเว็บไซต์
19. ถ้ามีบทความยาวๆ ในเว็บไซต์หรือบล็อก หากแยกเนื้อหาออกเป็นข้อๆ จะได้รับความสนใจจากผู้อ่านมากขึ้น
20. ผู้ใช้มักจะไม่อ่านบทความที่ติดกันยาวๆ หลายบรรทัด ดังนั้น ถ้าบทความยาวมาก ควรแตกเป็นย่อหน้าย่อยๆ
21. การดึงความสนใจของคนให้อ่านบทความให้มากและนานที่สุด คือการใช้รูปแบบตัวอักษรที่แตกต่างกันไป เช่น ตัวหนา ตัวใหญ่ ตัวเอียง ตัวขีดเส้นใต้ หรือตัวอักษรสีต่างๆ แต่ไม่ควรใช้มากเกินไป เพราะทำให้ผู้อ่านหมดความสนใจเช่นกัน
22. เว้นที่ว่างบนหน้าเว็บบ้างก็ดี ไม่ต้องใส่ข้อมูลหรือภาพบนทุกอณูของเว็บก็ได้
23. ปุ่ม navigation ควรวางไว้บนสุดของหน้าเว็บ เพื่อช่วยเหลือผู้ใช้ได้ง่ายที่สุด

internet TV

เห็นเพื่อนโพสคำคมกัน
เราเลยเอา internet TV
ที่ส่งผ่านแรงบันดาลใจของใครหลายๆคนไว้มาให้ดูจ้า
เว็บเค้าน่ารักมาทำจากแฟลชทั้งหมดเลยอ่ะ

เข้าไปดูกันนะ...คลิกเลย

วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2551

แหล่งความรู้ช่วงปิดเทอมนี้.....

ระยะนี้เพื่อนคงวุ่นอยู่กับการเตรียมตัวสอบ การแก้รายงานสัมมนา เสร็จจากสองอย่างนี้พวกเราก็คงรู้สึกผ่อนคลายขึ้นบ้างเนื่องเข้าสู่ช่วงการปิดเทอมพอดี เรามีกิจกรรมมานำเสนอในช่วงเวลาปิดเทอม เพราะว่าเปิดเทอมมาก็ยังต้องสู้ศึกครั้งใหญ่กับปัญญาพิเศษต่อ ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นปัญหาของพวกเราจริงๆ เสียด้วย 555…..
เรามีเว็บไซต์หนึ่งมาให้เพื่อนไว้เป็นทางเลือกในการเข้าไปศึกษาหาความรู้เพื่อเติมนะ เพราะว่ามันเกี่ยวข้องกับเนื้อหาวิชาที่เราเรียนหลายวิชาอยู่ ที่สำคัญมีของฟรีให้ดาวน์โหลดด้วย ไม่ว่าจะเป็น เกมส์ โปรแกรม เนื้อหาวิชาเรียนอื่น ............. ถ้าใครสนใจลองเข้าไปดู เพราะภายในเว็บไซต์ก็มีลิงค์ต่างๆ มากมาย เลือกดูตามเรื่องที่เราสนใจล่ะกัน




เนคเทคhttp://www.nectec.or.th/

อ้อ..อีกอย่างสำหรับเพื่อนๆ คนไหนที่อยากจะทำงานทางด้านคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมเมอร์ นักวิเคราะห์ระบบ ฯลฯ ก็ตามแต่ หากต้องการจะพัฒนาตัวเอง ทดสอบความสามารถ ตลอดจนการหาความรู้เพิ่มเติม และที่สำคัญยังได้ใบรับรองเพื่อเป็นมาตรฐานวิชาชีพด้วยนะ แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องสมัครสอบ ถ้าใครสนใจก็เข้าไปดูกันได้นะ แต่.... “ขอบอกข้อสอบเป็นภาษาอังกฤษ” ไม่เป็นไรเค้ามีการติวให้ด้วย.....



ศูนย์ฝึกอบรมเนคเทค
http://ite.nectec.or.th/

มาดูนาฬิกาชีวิตในหนึ่งวันว่าควรทำอะไรกันดีกว่า

นาฬิกาชีวิต
เป็นเก็บตกต่อมเล็กๆในสมองของมนุษย์คือ จุดควบคุมจังหวะสั่งการ ให้ร่างกายเคลื่อนไหว เป็นไปในลักษณะต่างๆทั้งกลางวันและกลางคืน ฮอร์โมนที่หลั่งออกมาจากต่อม เป็นศูนย์รวมบัญชาการเหล่านี้ คือเครื่องชี้นำที่เราท่านมีความสุขหรือเป็นทุกข์กังวล เป็นความจริงที่ควรรับทราบเพราะหากรู้ธรรมชาติตรงนี้ดีแล้ว จะได้แบ่งดูแลควบคุมพฤติกรรมในแต่ละวันของตนได้ เหมือนกับมีนาฬิกาภายในร่างกายคอยชี้บอกให้ทราบว่าช่วงนี้ จังหวะร่างกายจะมีสภาพอย่างไร ศาสตร์ในเรื่องพฤติกรรมตรงนี้ นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า โครโนไบโอโลยี ถ้าหากเรารู้จังหวะ รู้จักระมัดระวังชีวิต ก็จะอยู่ในวิสัยที่ควบคุมได้ไม่ยาก
06.00 น. ต้องยอมรับว่า หกโมงเช้าเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายตื่นตัวที่สุด
07.00 น. เหมาะสำหรับเป็นเวลาอาหารเช้า ระบบการย่อยอาหารจะทำงานได้ดีที่สุด สารอาหารแร่ธาตุและวิตามินต่างๆ จะถูกเปลี่ยน เป็นพลังงานได้อย่างสมบูรณ์
08.00 น. เป็นช่วงเวลาที่เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวบ่อยที่สุด เพราะเลือดในร่างกายเข้มข้น เลือดมีโอกาสจับตัวอุดตัน จนเกิดอันตรายได้มากกว่า ช่วงเวลาอื่น 09.00 น. สมองส่วนความจำจะทำงานได้ดีมากในช่วงนี้ เป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับการท่องจำ สมองจะรับและบันทึกไว้ได้ดีที่สุด
10.00 น. ถ้าเป็นไปได้ ควรนัดเจรจาเรื่องสัญญากับวิเคราะห์ ด้วยเหตุผลและการพูดจา ระหว่างการสนทนาจะออกมาเป็นจุดเด่นในช่วงนี้
11.00 น. ร่างกายในช่วงที่สามารถให้ประสิทธิภาพได้สูงสุด หัวใจและระบบไหลเวียนของโลหิต ทำงานได้เต็มที่ ช่วงนี้ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งมาราธอนหรือต่อสู้กับสภาพของงาน มนุษย์จะทำได้ดีที่สุด
12.00 น. จุดหักมาถึงแล้ว สมาธิเริ่มแย่ อุบัติเหตุในการทำงานจะเพิ่มมากขึ้น ถ้าไม่หยุดพักจะทำให้เกิดความเสียหายหายตามมาได้
13.00 น. กระเพาะอาหารเตรียมทำงานของมันด้วยการหลั่งกรดออกมา ต้องหาอะไรรับประทานให้ได้ ไม่งั้นโรคกระเพาะอาหารจะตะโกนถามหา
14.00 น. ถ้าหากด้องการประดิดประดอยอะไรเพื่อเซอไพรส์คนรักคน ชอบละก็ ให้รีบทำทำซะตอนนี้เพราะเป็นช่วงที่มือไม้ทำงานได้ประณีตดีที่สุด
15.00 น. พลังงานแห่งการทำงานกลับมาอีกครั้ง ความจำขึ้นถึงสูงสุดอีกครั้ง ช่วงนี้น่าจะหาโอกาส เข้าพบเจ้านายเพื่อขึ้นเงินเดือนได้ ในช่วงนี้จิตใจจะไม่กลัวการเผชิญหน้าใดใด
16.00 น. มนุษย์จะทนต่อความเจ็บปวดได้ดีที่สุดในชั่วโมงนี้ ถ้าจะไปทำฟันก็เลือกประมาณนี้แหละ ถ้าทำได้ ยาชาเข็มนึงจะมีผลพอๆกับการได้รับ 3 เข็ม เลยทีเดียว
17.00 น. แรงดันและการไหลเวียนของโลหิตจะเคลื่อนไหวได้ดีมาก เป็นเวลาที่เหมาะสมกับการเล่นกีฬา ออกกำลังกาย กล้ามเนื้ออยู่ในช่วงที่แข็งแรงที่สุด และเมื่อได้ฝึกอย่างถูกวิธี ก็จะเกิดความแข็งแรงรวดเร็วมาก
18.00 น. จงระวังขณะขับรถอยู่บนถนน ช่วงนี้ผู้คนจะเหนื่อยเพลียและขาดสมาธิมากกว่าช่วงเวลาชั่วโมงอื่นๆ เป็นช่วงที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้งที่สุด
19.00 น. สมองได้รับเลือดหล่อเลี้ยงมากเพียงพอ เมื่อเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันในช่วงนี้ จะสามารถแก้ไขให้ลุล่วงดี ได้เร็วมาก
20.00 น. คนเราเริ่มสดชื่นหลังการพักผ่อน ที่ต้องกรำงานตลอดทั้งวัน แล้วเป็นช่วงดีสำหรับการพบปะหมู่มิตร ใครที่อยากจะบอกรัก ขอใครแต่งงานควรจะทำใน ชั่วโมงนี้ โอกาสประสบความสำเร็จมีมากที่สุด
21.00 น. กระเพาะอาหารจะหยุดทำงานพอถึงช่วงเวลานี้ ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงอาหารหนัก เพราะไม่เช่นนั้น ก็จะไปครั่งค้างในกระเพาะ เกิดผล เสียหายตามมา
22.00 น. ถึงเวลาเข้านอนแล้ว ความดันโลหิตจะลดลงพร้อมๆกับอุณหภูมิของร่างกายที่ต่ำลง การนอนหลับก่อนเที่ยงคืนเป็นการหลับที่สนิท และช่วยให้การพักผ่อนอย่างเต็มที่มากกว่าช่วงอื่น
23.00 น. ร่างกายกำลังผ่อนคลาย สมองทำงานน้อยลง ถ้าดูหนังสือ ช่วงนี้ วันต่อไปก็จะจำไม่ได้เป็นส่วนใหญ่
24.00 น. ใครที่ยังไม่หลับควรให้โอกาสนี้สำหรับการสร้างสรรค์ จะป็นงานเขียน วาดรูป หรือแต่งเพลง ล้วนเป็นช่วงเวลาที่วิเศษทั้งสิ้น เพราะสมองปลอดโปร่งคิดโน่นคิดนี่ได้ดีที่สุด
01.00 น. ถึงตอนที่สมองเหนื่อยล้าที่สุดแล้ว ร่างกายอยากพักผ่อนเต็มที่ แม้จะชาชินกับงานกลางคืนมาเป็นปี แต่พอเข้าชั่งโมงนี้จะรู้สึกว่าเหนื่อย เพลีย ง่วงที่สุด 02.00 น. ฮอร์โมนเมลาโตนิน ถูกขับออกมามาก ทำให้คนเราเลื่อนลอยเหนื่อยล้า และมีโอกาสคิดสั้นฆ่าาตัวตายมากที่สุด
03.00 น. ในร่างกายมนุษย์ทุกอย่างแทบจะหยุดนิ่ง ใครที่จุดบุหรี่สูบมีโอกาสหลับทั้งๆที่ยังคาบบุหรี่อยู่ในปากนั่นเลย ช่วงนี้มีโอกาสไฟไหม้บ้านมาก 04.00 น. ร่างกายเริ่มตื่นขึ้นมาทำงานอีก เพราะมีฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งใช้ต่อสู้กับความเครียดหลั่งออกมา คนเป็นโรคหืดหอบจะมีปัญหากับการหายใจ 05.00 น. ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์แก่ทั้งหลาย ควรตระเตรียมข้าวของให้พร้อมสำหรับชั่งโมงนี้ เพราะตามสถิติเด็กทารก จะคลอดออกมาลืมตาดูโลกระหว่างชั่วโมงนี้มากที่สุด เป็นยังไงกันบ้าง อ่านมาถึงนี้แล้ว คงจะพอทำให้รู้ได้นะ ว่าเวลาไหนเราควรหรือไม่ควรทำอะไร ยังไงก็รัษาสุขภาพกันหน่อยนะพวกเรา

ด้วยความรักและเป็นห่วงเพื่อนๆ

ความแตกต่าง...แต่ลงตัว (มั้ยนะ)

หลังจากการปิดคอร์สของ SA (ที่ดูเหมือนยังไม่ค่อยจบเท่าไหร่)
รู้สึกว่า จะเป็นการเรียนในระยะเวลาที่สั้นจริงๆ ว่ากันบ้างม่ะ
อาจารย์ชอบพูดอยู่เสมอว่า "พวกเราทุกคน ทำให้คลาสนี้ เป็นแบบนี้"
ฝนชอบคำนี้มาก ๆ เลยนะ เพราะว่าเราทุกคนต่างกันโดยสิ้นเชิง
แต่มันกลับมีอะไรบางอย่าง ทำให้เราคุยกันรู้เรื่อง 555+

แล้วฝนจะพล่ามอะไรมากมายเนี่ย เข้าเรื่องดีกว่า ...
พอดีมีอะไรน่ารัก ๆ มาให้อ่านกัน (ที่ไม่เกี่ยวกับ SA ซักนิดเลย)
แต่อยากให้อ่าน ฝนว่ามันตรงกับพวกเราดี ชอบๆๆๆๆ
...................................................................................................
เจ้ากรุ๊ปเลือดตัวน้อยพร้อมหรือยัง ถ้าพร้อมก้อ....ลุย!!!

นั่งนึกเล่น ๆ ดูว่าใครจะกรุ๊ปอะไรบ้าง อิอิ ... จะตรงกับที่นึกมั้ยนะ

....................................................................................

จบแล้ว สวัสดีค่ะ ^^

(ไม่รู้จะมีโอกาสได้โพสอีกมั้ย จบ SA แล้ว บล๊อกนี้จะปิดหรือเปล่าค่ะ -*-)

***ไม่รู้เคยอ่านกันมาบ้างยัง แต่ฝนแค่อยากโพสเรื่องนี้ มันน่ารักดี***

วันเสาร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2551

....คำคม....

เห็นหลายคนชอบพูดคำคมบ่อยๆ เลยเอามาฝาก นี่พยายามหาที่สั้นๆแล้วนะ

"Even a Step back can be fatal."
แม้แต่การก้าวถอยหลังก็อาจถึงแก่ชีวิตได้


"Imagination is more important than knowledge."
จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ที่มี



"Do what you can, with what you have, where you are."
ทำในสิ่งที่คุณสามารถจะทำได้ พร้อมกับสิ่งที่คุณมีและที่ที่คุณอยู่


"Freedom is nothing else but a chance to do better."
อิสรภาพ ไม่ใช่อะไรอย่างอื่นเลย หากแต่คือโอกาสที่จะทำสิ่งต่างๆให้ดีขึ้น




"Do or do not; there is no try."
การตัดสินใจที่จะทำหรือไม่ทำ ไม่ต้องใช้พยายามแต่อย่างใด



"Well done is better than well said."
การลงมือทำดีกว่าคำพูดที่สวยหรู



"We write our own destiny. We become what we do."
ตัวเราเองที่กำหนดพรหมลิขิตและเราจะเป็นในสิ่งที่เราได้กระทำ




"Don't go find LOVE, Let LOVE finds you."
จงอย่าไขว่คว้าหารัก จงให้รักตามหาคุณ



"Love has its ways."
ความรักมีหนทางของมัน



"Love sees not with the eyes but with the Mind."
ความรักไม่สามารถเห็นได้ด้วยด้วยตา แต่สัมผัสได้ด้วยใจ

POP Corn

เคยสงสัยไหมว่าใครหนอ ช่างคิดทำป๊อปคอร์นขึ้นมา???

คำตอบ คือ ชาวอินเดียนแดงแห่งทวีปอเมริกานั่นเอง เพราะว่าบริเวณนั้นเป็นแหล่งปลูกข้าวโพดนานาชนิด (สันนิษฐานว่าปลูกกันมา 5,600 ปีมาแล้ว

สมัยก่อนวิธีทำข้าวโพดคั่ว แปลกมากๆๆ คือ จะฝังหม้อในทรายที่ร้อนจัด จากนั้นก็จะโรยเมล็ดข้าวโพดลงไป แล้วปิดฝา ความร้อนจากทรายทำให้ข้าวโพดแตกกลายเป็นข้าวโพดคั่ว (ความคิดสุดยอด)
นอกจากจะนำข้าวโพดมาเป็นอาหาร ยังนำมาทำเป็นเครื่องประดับสำหรับหัวหน้าเผ่าหรือนักรบอีกด้วย ยังไม่พอยังทำแล้วนำไปขายให้กับลูกเรือ จนข้าวโพดคั่วดังไปทั่วโลก

อเมริกาจึงเป็นประเทศแรกที่มีการจำหน่ายข้าวโพดคั่วเป็นธุรกิจ และมีการพัฒนาเครื่องคั่วข้าวโพดมาเรื่อยๆจนถึงปัจจุบัน ต่อมาเมื่ออุตสาหกรรมภาพยนตร์ในอเมริกาเติบโตในช่วงศตวรรษที่ 20 มีการเปิดโรงภาพยนตร์หลายแห่ง และมีการนำเครื่องทำข้าวโพดไปทำข้าวโพดคั่วขายให้แก่ผู้เข้าชมโรงหนัง ทำให้ข้าวโพดคั่วกลายเป็นสัญลักษณ์ควบคู่กับความบันเทิงในปัจจุบัน

"เรื่องที่ไม่น่าจะมาเกี่ยวข้องกับธุรกิจอย่างข้าวโพด กลับเข้ามามีส่วนอย่างมาก
แล้วลองหันมามองตัวเรา เทียบกับข้าวโพดแล้วน่าจะทำอะไรได้มากกว่านะ..."

วันอังคารที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2551

EQ ก็สำคัญนะ

ช่วงนี้ รู้สึกเริ่มให้ความสำคัญกับการพัฒนาสมองกันเนอะ ฝนก้อเป็นคนนึงในนั้นที่อยากมีสมอง หรือ IQ ที่ชาญฉลาดกะเค้าบ้าง แต่อ่านไปอ่านมา ก็ฉุดทำให้คิดได้ว่า เราลืมอะไรกันไปหรือเปล่า ???

ก้อเลยนึกเรื่องมาโพสได้เรื่องนึง...

สมมุติว่า...ตอนนี้ฝนแปลงร่างเป็นเจ้า EQ (ชะแว้บบ ^^)
ฝนคงน้อยใจน่าดูที่ไม่มีใครพูดถึง ToT (พูดถึงกันแต่ IQ IQ & IQ)
แต่ก็เอาเถอะนะ อย่างน้อยก็ยังมี ติ๊ก ที่คิดถึงเรา (เหอๆๆ)

งั้นขอพูดซักนิดละกัน ว่าเจ้า EQ เนี่ย มันคือความฉลาดทางด้านอารมณ์ ในการรู้จักเข้าใจตนเอง และเข้าใจเห็นใจผู้อื่น รวมทั้งสามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆที่เกิดขึ้นได้ ซึ่งประการหลังนี้ต้องการทักษะที่เสริมเข้ามาอีก 2 อย่าง คือการรู้จักมองโลกในด้านบวก และการอดทนพากเพียร

ซึ่งนั้นก็หมายถึงสิ่งที่ ติ๊ก บอกแหละ (อ่าเห็นมั้ยว่าติ๊กสนใจเรา เย้ๆๆ)

ถ้าเปรียบกับสมองข้างซ้ายและขวา ก็คือ ขวา = EQ ซ้าย =
IQ
ซึ่งอาจารย์สอนจิตวิทยาบอกว่า คนเราต้องมีสมองที่สมดุล
ชีวิตถึงจะมีความสุข ความเก่ง และความดี ^^
เพราะฉะนั้นเนี่ยนะ คนเราควรพัฒนาทั้งเจ้า IQ และ EQ ไปควบคู่กันล่ะ

แต่เป็นเรื่องน่าเศร้า ...
เพราะในปัจจุบันเด็กไทยมี IQ ที่สูงขึ้นมาก ๆ แต่ EQ กลับลดลงเรื่อย ๆ
(เจ้า EQ ถูกทิ้ง!!!...เห็นมั้ยว่า เจ้า EQ มันน่าสงสารแค่ไหนค่ะเพื่อน ๆ ToT)
...............................................................................................

ไหน ๆ ฝนจะสร้างความยุติธรรมให้กับเจ้า EQ แล้วเนี่ย ฝนก็ต้องสร้างความยุติธรรมให้ครบทุกคิวใช้มั้ยค่ะ เอาเป็นว่า เพื่อน ๆ รู้กันบ้างมั้ยว่านอกจากเจ้า IQ กับ EQ แล้วเนี่ย มันยังมีตัวอื่นอีก โอ้ว้าวว...(อันนี้ฝนเพิ่งรู้ค่ะ แต่ไม่รู้เพื่อน ๆ รู้จักกันยังนะ) คือ ทุกคนรู้ใช่ม่ะว่า ตัวอักษรภาษาอังกฤษมี 26 ตัว (ไม่รู้ก็บ้าล่ะ ถามไรไปเนี่ย -*-) เพราะฉะนั้น เจ้าน้องคิวคิวเนี่ย มันก็มีครบ 26 ตัวเหมือนกันเลยค่ะ มีครบตั้งแต่ AQ-ZQ เลยนะ จริงๆ นะ

แต่จะให้ฝนเขียนหมดในนี้มันก็จะดูยาวยืดมากเกินไปหน่อย ครั้นจะให้หาความหมายให้ทุกตัวมันก็...นะ ป่าววไม่ได้ขี้เกียจ แต่ความหมายมันก็แปลตรงตัวไง เหอๆๆ ... ฝนขอเขียนแค่ชื่อมันพอนะค่ะ ใครใคร่อยากรู้เพิ่มไป Search เอาเองเน้อ ข้าเจ้าบอกมีปัญญาบอกได้แค่นี้ล่ะ...

AQ : Adversity Quotient
BQ : Balancing Quotient
CQ : Creativity Quotient
DQ : Distinguishability Quotient
EQ : Emotional Quotient
FQ : Feeling Quotient
GQ : Globalization Quotient
HQ : Health Quotient
IQ : Intelligence Quotient
JQ : Joking Quotient
KQ : Knowledge Quotient
LQ : Leadership Quotient
MQ : Moral Quotient
NQ : Neatness Quotient
OQ : Organization Quotient
PQ : Perception Quotient
QQ : Questioning Quotient
RQ : Reasoning Quotient
SQ : Spiritual Quotient
TQ : Team-working Quotient
UQ : Understanding Quotient
VQ : Velocity Quotient
WQ: Wisdom Quotient
XQ : Xperience Quotient
YQ : Youth Quotient
ZQ : Zooming Quotient

สุดท้ายและท้ายสุดจริงๆ ฝนว่าความจริงแล้ว เจ้าคิวคิวทั้งหมดมันก็คือ ศักยภาพรอบ ๆ ตัวของเราเองเนี่ยล่ะ แต่คงเป็นไปไม่ได้หรอกที่เราจะมีศักยภาพในทุก ๆ ด้านขนาดนั้น หรือถ้าอยากจะมีมันก็จะใช้เวลานานมาก ๆ เลยนะ เอาเป็นว่า เราไม่ควรที่จะหยุดพัฒนาตัวเองในสิ่งที่เราต้องการและชื่นชอบมันล่ะกัน นะค่ะ ^^

ปล.อ่านจบอีกรอบก็บรรลุอีกว่า ฝนควรเข้ารับการตรวจเช็คสมองโซนส่วนที่สร้างความมีสาระด่วน ไม่งั้น...ฝนอาจมีความไร้สาระหรือไม่เต็มเต็งไปมากกว่านี้แน่ *o* .... จบแล้ว สวัสดีค่ะ

เขียนโดย Z 'P'arëëna ที่ 8.21 ก่อนเที่ยง (คืน) --> เวลาไม่เคยตรงตามความจริงซะที -*-

วันเสาร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2551

ดูTV แล้วสมองทำงานน้อยมาก จริงๆนะ มาดูกัน

พอดีมากๆ เมื่อคืนวันศุกร์เราไปอ่านเจอกระทู้พันทิปที่พูดถึงการเพิ่มความฉลาดทางสมอง โดยเขาเอาภาพสแกนสมองมาให้ดูว่า เวลาเราทำกิจกรรมต่างๆ กัน สมองส่วนไหนถูกใช้บ้าง 

แล้วพอวันเสาร์อาจารย์จงก็พูดถึงเพื่อนอาจารย์คนนึง ที่ไม่ให้ลูกดูทีวีเลยตลอด 11 ปี สาเหตุคือเขาคิดว่ามัน
เป็นการเรียนรู้ที่ไม่ดีนัก เราก็นึกถึงกระทู้นี้ขึ้นมาเลย มาดูรูปประกอบกัน


โดยส่วนที่มันเรืองแสงขึ้นมา นั่นก็คือส่วนของสมองที่ถูกใช้งานยามที่เราดูทีวี

มีรายงานวิจัยเรื่องเด็กอเมริกันเคยอ้างว่า การเอาแต่ดูทีวีทั้งวันโดยไม่ทำอะไร มีผลทำให้สมองฝ่อได้ แ ละเป็นผลให้ปัจจุบัน เด็กอเมริกันรุ่นหลังมี IQ ด้อยลง

เ พราะสมองมีการ Input อย่างเดียวไม่ได้ใช้ส่วนที่เ ป็น OUTPUT นั่นเอง

มีเนื้อหาเพิ่มเติมที่น่าสนใจอีกเยอะเลย ในกระทู้นี้

วันศุกร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2551

Positive Thinking

หลักการมองโลกเชิงบวก

ก่อนที่คุณจะเรียนรู้ถึงวิธีคิดเชิงบวก ลองถามตัวเองดูก่อนว่า...คุณอยากเป็นคนที่มีความสุขมากกว่านี้ไหม หรือกำลังมีความทุกข์เพราะความคิดของตัวเองตลอดเวลาหรือเปล่า หากคำตอบคือ “ใช่” นั่นคือหัวใจสำคัญของการฝึกฝน เพราะ “ความตั้งใจ” เท่านั้นที่จะทำให้การฝึกหัดวิธีคิดกลายเป็นผลสำเร็จได้

บันไดขั้นที่ 1 : มองตัวเองว่าดี
การที่เราจะมองโลกหรือมองคนอื่นในแง่ดีได้ ต้องมาจากพื้นฐานที่มองและเชื่อว่าตัวเองดีเสียก่อน ขั้นตอนเพื่อการมองตัวเองว่าดี มีดังนี้
- หาข้อดีของตนเอง ลองสำรวจพิจารณาข้อดีของตนเอง (ไม่ใช่การเข้าข้างตัวเอง) อาจเป็นความดีเล็กๆ น้อยๆ เช่น พาคนแก่ข้ามถนน ช่วยลูกนกที่ตกจากต้นไม้ ฯลฯ เพื่อให้เกิดความรักและความภาคภูมิใจในตัวเอง
- ถ่อมตัว การมองเห็นความดีของตนเองนั้นมีไว้เพื่อบอกตัวเราเองให้เกิดความพอใจ รักตัวเอง แต่ไม่ใช่เพื่อข่มหรือคุยทับคนอื่น การถ่อมตัวจึงเป็นอีกคุณสมบัติหนึ่งที่พึงจะมีควบคู่กัน
- นอกจากจะรู้จุดแข็ง (ข้อดี) แล้ว ยังควรต้องสำรวจจุดอ่อนของตัวเองด้วย เมื่อเรายอมรับได้ว่านั่นคือ ข้อบกพร่องของเราจริงๆ ก็จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้ในที่สุด
- เพิ่มความดี แม้วจะรู้ว่าตนมีข้อดีในด้านใดบ้าง ก็ไม่ควรหยุดตัวเองไว้เพียงเท่านั้น แต่ควรเพิ่มคุณสมบัติอื่นๆ ที่ดีให้มากยิ่งขึ้น อาจเริ่มต้นโดยการตั้งเป้าหมายเป็นข้อๆ ว่าคุณอยากจะทำอะไรดีๆ เพิ่มขึ้นบ้าง แล้วค่อยๆ ฝึกฝนไปทีละข้อ

บันไดขั้นที่ 2 : มองคนอื่นว่าดี
เมื่อผ่านบันไดขันแรกมาแล้ว จะทำให้เราเริ่มตระหนักว่าคนทุกคนล้วนแต่ไม่สมบรูณ์ ย่อมมีข้อบกพร่องมากน้อยแตกต่างกันออกไป (แม้แต่ตัวเราก็ยังมีข้อเสีย) ดังนั้น การมีชีวิตที่มีความสุข จึงหมายถึงการอยู่ร่วมกันโดยเลือกมองและใช้ประโยชน์จากความดีที่ผู้อื่นมีอยู่ โดยไม่ใช่การเสแสร้ง แต่มองเห็นความดีของเขาจริงๆ

บันไดขั้นที่ 3 : มองสิ่งที่เหลืออยู่ ไม่ใช่สิ่งที่ขาดหาย
เมื่อเกิดปัญหาหรืออุปสรรคต่างๆ ขึ้น ลองมองความทุกข์หรือปัญหานั้นเป็นเรื่องธรรมดา เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วนั้นย่อมกลับไปแก้ไขไม่ได้ แต่เราสามารถนำมาพิจารณาได้ว่าในวิกฤติที่เราพบนั้นมีข้อดีอะไรแฝงอยู่หรืจะใช้ประโยชน์จากปัญหานั้นได้อย่างไรบ้าง เช่น ผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งรู้สึกว่า รักตัวเองมากขึ้น เลิกทำอะไรไร้สาระ แล้วหันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาจิตใจมากขึ้น เช่น ฝึกสมาธิ ช่วยเหลืองานการกุศล เป็นต้น

บันไดขั้นที่ 4 : หมั่นบอกตัวเอง
ขึ้นชื่อว่าเป็นความคิดก็มักจะอยู่กับเราไม่นาน แต่ความคิดก็มักเป็นต้นทางและบ่อเกิดของการการะทำ ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องทำให้ความคิดดีๆ อยู่กับเราตลอดเวลา เช่น บอกตัวเองว่าเป็นคนเก่งทุกครั้งที่ทำอะไรสำเร็จ แม้จะเป็นเพียงความสำเร็จเล็กน้อย บอกตัวเองว่าเพื่อนร่วมงานก็เป็นคนดีคนหนึ่ง แม้เขาจะมีข้อบกพร่องอีกหลายอย่าง บอกตัวเองว่าเราโชคดีที่ได้ทำงานยากๆ แม้ค่าตอบแทนจะน้อยแต่ก็ทำให้เราได้ประสบการณ์ที่หาไม่ได้ง่าย ๆ ฯลฯ

บันไดขั้นที่ 5 : ใช้ประโยชน์จากคำว่าขอบคุณ
เคยมีคำสอนจากอาจารย์เซนท่านหนึ่งกล่าวว่า เมื่อต้องพบเจอเรื่องร้าย จงยิ้มแล้วกล่าวคำว่าขอบคุณ เพราะนั่นคือบททดสอบที่ดีของการมีชีวิตที่เข้มแข็ง หากคนด่าว่าคุณ แทนที่จะโต้ตอบ การกล่าวคำว่าขอบคุณ แทนที่จะโต้ตอบ จะช่วยลดท่าทีรุนแรงลงได้เกือบทั้งหมด ทั้งยังทำให้บุคคลนั้นแปลกใจ และอาจกลับไปพิจารณาพฤติกรรมของตัวเองได้โดยที่คุณไม่ต้องพูดอะไรสักคำ หากเราตั้งสติ และพินิจพิเคราะห์อุปสรรคต่างๆ อย่างมากพอ เราจะรู้สึกขอบคุณต่อข้อขัดข้องเหล่านั้น อย่างน้อยมันก็ทำให้เราเรียนรู้ที่จะเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น เข้าใจจากความผิดพลาดว่าสิ่งใดไม่ควรทำ (แม้ยังไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรจึงจะสำเร็จก็ตาม) และช่วยให้รอบคอบมากขึ้น เพื่อไม่ผิดพลาดซ้ำอีก

**** โธมัส อัลวา เอดิสัน เคยบอกกับผู้ช่วยของเขาในระหว่างการทดลองประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าว่า “เราไม่ได้ล้มเหลวจากการทดลอง 700 กว่าครั้งที่ผ่านมา แต่เรากำลังเรียนรู้มากขึ้นเรื่อยๆ อย่างย้อยเราก็รู้แล้วว่ามี 700 วิธีที่ไม่ควรทำ และใกล้จะพบคำตอบแล้ว”

“ความผิดพลาดจึงเป็นบันไดขั้นสำคัญในการเรียนรู้ หากรู้จักใช้ประโยชน์ ก็ไม่ถือว่าสูญเปล่า
การมองโลกในแง่ดี จึงเป็นอีกหนึ่งวิธีคิดเพื่อการใช้ชีวิตที่มีความสุข ที่เริ่มต้นง่ายๆ ได้จากตัวคุณนี่เอง”


ที่มา : http://www.tosdn.com/forum/index.php?topic=1848.0;prev_next=next

***ตอนแรกคิดว่าจะไม่ลงบทความนี้แล้วเพราะว่ามันยาวมาก แต่คิดว่าจะมีประโยชน์บ้างสำหรบคนอ่าน ก็เลยเอามาให้อ่านกันเล่นนะ ลองเอาไปทำกันดู ว่าทำได้จริงหรือเปล่า***
Confession - Vietrio

บราวเซอร์ ...สายเลือดไทยแท้

หลังจากที่นั่งคิดว่าจะโพสเรื่องอะไรดี พอได้อ่านที่ปอโพสไว้ก็คิดออกเลย หากินง่ายๆ นะเรา ปอแนะนำบราวเซอร์ใหม่ๆ ตั้งหลายตัว ซึ่งบางตัวเราเองก็ไม่รู้จักและไม่เคยใช้ด้วย แต่เราจะมาแนะนำบราวเซอร์อีกตัวหนึ่ง เป็นบราวเซอร์สายเลือดไทย เพราะว่าจุดกำเนิดของมันถูกสร้างขึ้นโดยคนไทย และเพื่อคนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยาวชนไทยที่จะสามารถท่องโลกไซเบอร์ หรืออินเตอร์เน็ตได้อย่างสะดวกและปลอดภัย

ดังสโลแกนที่ว่า “Plawan Browser ท่องเน็ตปลอดภัย ห่วงใยเยาวชน”

จุดเด่นของปลาวาลบราวเซอร์ แม้ไม่น่าจะถาม แต่ตอบดีกว่าใครจะมารู้ความต้องการของเราดีเท่ากับตัวเราเอง ดังนั้นสิ่งโดดเด่นก็คือ
- การใช้งานที่เหมาะกับคนไทย แสดงผลเป็นภาษาไทย และยังมีตัวช่วยที่สำคัญ คือ มีระบบแปลภาษา อังกฤษ-ไทย ในตัว เพื่อช่วยความเข้าใจด้านภาษาในการท่องเว็บไซต์ (ประมาณว่าภาษาอังกฤษอ่อนแอ)
- อ้อเรียกอย่างเป็นทางการว่า ระบบ Dictionary อัจฉริยะ ที่สามารถแปลภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยบนเว็บ พร้อมยกตัวอย่างการใช้ศัพท์ และประโยคในการใช้งานได้อีกด้วย แหม! ….ยิ่งเพิ่มความสะดวกเข้าไปใหญ่
- อีกอย่างเมนูการใช้งานยังเป็นแบบสองภาษาอีก คือใช้ได้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษแล้วแต่สะดวกเลยจ้า.....





มาเร็ว......มาช่วยกันใช้ของไทย.......


ดาวน์โหลดกันได้ที่นี่จ้า .....

วันพฤหัสบดีที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2551

ลองกันหรือยัง "Chrome" Web Browser จาก Google


เปิดตัวมาเมื่อวันที่ 6 สิงหาที่ผ่านนี้เอง สำหรับ "Chrome" Web Browser จากทางค่าย Google

แรกเริ่มเดิมที่เราก็ใช้ IE นี่แหละ ถัดมาพอเริ่มเล่น Pantip มากๆ เข้า ชอบเปิดกระทู้ไว้เยอะ IE ก็ชักจะไม่ไหว ไม่ค่อยถูกชะตากับมันยังไงไม่รู้ เลยโซซัดโซเซมาพบกับ Mozilla Firefox

แหม เจ้า Firefox กับเรานี่ช่างเหมือนคู่แท้ที่หากันมานาน เพราะชอบที่มันมี Tab มากๆๆๆๆ
แถมยังรู้สึกว่ามันเร็วๆ ดีเนอะ แต่ Firefox ก็มีข้อเสียที่ความใช้ง่ายของมัน ง่ายยยย ซะจน
แทบจะไม่มีลูกเล่นอะไรเลยน่ะสิ -*- แถมบางเวบหน้าเวบก้เคลื่อน ไม่มีการ warp คำ
หน้า format ของเวบก็เพี้ยนๆ ไป บังเอิญอีก ช่วงนั้นก็มาเจอเจ้า Maxthon ของทางค่ายไหนก็ไม่รู้ล่ะ Maxthon เนี่ย แต่พอลองใช้ๆ เออ มันก็น่ารักดีเหมือนกันเว้ย
คล้ายๆ IE แต่ชอบกว่ามาก เพราะเมนูดูรู้เรื่องไม่งงๆ หาไม่ค่อยเจอแบบ IE มี tab เหมือน Firefox
ใช้งานได้เพลินๆ แถมลูกเล่นที่โค ตะ ระ เยอะเลย ไม่รู้จะเยอะไปไหน ใช้ไม่หมดซะที

แต่ใช้ไปใช้มาก็เป็นอันต้องลาจาก Maxthon เราคงรักกันไม่ได้ ทำไมอยู่ดีๆหนูชอบค้างแบบนี้ล่ะจ๊ะ
แม่ไม่ปลื้มนะ พอดีกับ Firefox เขามีเวอร์ชั่นใหม่ให้ลอง (Ver 3 ละกระมัง) ก็โหลดมาจิ๊ เราคนชอบลอง

โอ้ว๊าว Firefox เวอร์ชั่นใหม่นี้มันแก้จุดบกพร่องของเวอร์เก่าไปได้มากทีเดียว เรื่องการตัดคำไม่เป็นปัญหาแล้ว
แถมช่อง Address bar ก็สามารถช่วยค้น Website ได้ง่ายดาย ไม่ต้องพิมพ์ด้วยคำแรกของ Url
แต่พิมพ์แค่ส่วนหนึ่งส่วนใด มันก็ขึ้นมาให้เลือกแล้ว ยังเร็วเหมือนเดิม เสียแต่ครั้งแรกที่เรียกขึ้นมามันค่อยข้างจะช้ามากกก
แล้วก็สามารถ Add Bookmark ได้ง่ายมากๆ ด้วยปุ่มเดียว เรียกว่าเหราลงรักเลยล่ะ

แต่อย่างว่า เรามันคนเห่อของใหม่ ได้ข่าวว่าทาง Google เขาออก Web Browser มาก็ขอลองซะหน่อย
เพื่อนๆ สามารถโหลดได้ตามลิงค์นี้เลย

ส่วนข้อดีข้อเสียของเจ้า "Chrome" (อ่านว่า โครม เ น้อ) เราคงไม่พูดให้มากความ อยากให้ไปลองกันเองเลยดีกว่า
หะหะ ความจริงคือมีคนเขารีวิวไว้แล้วน่ะ ตามนี้
(ฺBlognone เป็น Blog ที่อัพเดทข่าว IT ได้เร็วแล้วก็ดีด้วย เป็นอีก Blog ที่น่าสนใจนะ)

แต่ข้อดีที่เราสัมผัสได้ง่ายๆ ก็คือ มันออกแบบหน้าจอมาดีมาก ทำให้มีพื้นที่ในการดูเวบมากขึ้นเยอะเลย
เอาเมนูในส่วนที่ไม่จำเป็นๆ ออกไป แล้วก็มี tap ที่ใช้ง่ายคล้าย Firefox แถม Add Bookmark ได้ง่าย (คล้าย Firefox อีกละ)

อ้อ ที่ลืมไม่ได้เลย Google เป็นเจ้าพ่อ Search Engine อยู่แล้ว จะพลาดได้ไง
เขาแปลงร่าง Address Bar เป็นแถบ Search ซะเลย เหมาะสำหรับคนที่จำชื่อเว็บไม่ค่อยได้อย่างเราสุดๆ

แต่ๆๆๆๆ ข้อเสียอย่างแร็งงง! ของมันก็คือ
มันใช้เข้า Hotmail ไม่ได้ค้าบพี่น้องงงง (ไม่รู้เป็นเรื่องทางธุรกิจหรือเปล่านะ)
พอลองแล้วเป็นแบบนี้

มันฟ้องว่าให้เข้าด้วย IE /Firefox /Apple Safari แทน ซะงั้น!

ลองดูกันนะจ๊ะเพื่อนๆ ได้ผลเป็นไงมาบอกกันมั่ง

ปล. ตอนนี้ในเครื่องข้าพเจ้ามี Web Browser อยู่ 4 ตัวด้วยกัน เหอๆ -*-

คลังสินค้าอัจฉริยะ

เห็นว่าพวกเราทำระบบคลังสินค้ากันเยอะมากๆๆๆ และบังเอิญไปเจอบทความเกี่ยวกับ คลังสินค้าอัจฉริยะ ก็เลยเก็บมาฝาก...

การคลังสินค้าอัจฉริยะคืออะไร???
กระบวนการวางแผน ปฏิบัติการและควบคุมการเคลื่อนย้ายจัดเก็บสินค้าด้วยระบบอัตโนมัติอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล รวมถึง การบริการและระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า และผู้มีส่วน ได้เสีย (Stakeholders)

ทำไมต้องการคลังสินค้าอัจฉริยะ??
การคลังสินค้ามีความสลับซับซ้อนยุ่งยากมากกว่าที่เราเห็น ในโลกแห่งความเป็นจริง ความเจริญได้ควบคู่ไปกับความสลับซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ นี่คือผลพวงหลักของโอกาสใหม่ที่จะต้องฉกฉวยและปัญหาต้องแก้ไข ศาสตร์และศิลป์ของการคลังสินค้ากำลังกลายเป็นส่วนสำคัญยิ่งของการค้า และอุตสาหกรรมยุคใหม่ เพราะเทคโนโลยีธุรกิจสมัยใหม่มุ่งเน้นการจัดการสินค้า การกระจายตัวสินค้า และการบริการลูกค้าเป็นหลักสำคัญ เพื่อต้องการยกระดับการบริการลูกค้าที่เป็นเลิศในการตอบสนองความต้องการของลูกค้า (Excellent Responsiveness) การใช้ทรัพยากรที่คุ้มค่า (Cost Efficiency of used Resources) ความเชื่อได้และความปลอดภัยในบุคลากรและสินทรัพย์ (Reliability, Safety and Security) เพื่อส่งผลกำไรสูงสุดและความอยู่รอดของธุรกิจในระยะยาว

แต่ที่พวกเราคิดทำระบบคลังสินค้ากัน ลองมาดูประโยชน์ของคลังสินค้าอัจฉริยะดูนะว่าของพวกเราคิดจะทำระบบแล้วมันเกิดประโยชน์ข้อไหนกันบ้าง???

1 ความสะดวกรวดเร็วในการบริการลูกค้า
2 ความถูกต้องของสินค้าคงคลัง
3 ความรวดเร็วในการป้อนข้อมูลและรายการธุรกรรม
4 ขจัดงานธุรการและการใช้แรงงานในการปฏิบัติการ
5 ขจัดการขัดจังหวะการทำงานด้วยบุคลากร
6 ลดความเครียดและอารมณ์เสียในการทำงาน
7 เข้ากันได้กับระบบคอมพิวเตอร์และระบบการคลังสินค้าอัตโนมัติ
8. มีการปรับปรุงการสื่อสาร (Improved Communications) ระบบการคลังสินค้าอัจฉริยะไม่เพียงแต่ประกอบด้วยอุปกรณ์เครื่องมือสิ่งอำนวยการที่ทันสมัย (Modern Hardware) แล้วยังต้องมีทีมงานคุณภาพ (Quality Teams) และเทคโนโลยีการสื่อสารที่ทรงคุณภาพ (High Quality Technology Information) เพื่อยกระดับการสื่อสารแบบรู้ทุกเมื่อ (Real Time) และรู้ล่วงหน้าของการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะการพยากรณ์ยอดขายที่ถูกต้องรวดเร็ว การทราบสถานะของสินค้าคงคลัง และการตรวจสอบย้อนกลับสินค้าได้ทุกเวลา การเชื่อมโยงและแบ่งปันข้อมูลระหว่างผู้มีส่วนได้เสียและความร่วมมือระหว่างกันอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในระบบการจัดการแวลู่เชน (Value Chain Management)

วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2551

SA ตอน..ความจริงกับความฝันต่างกันตรงไหน??

หลังจากที่เราทำการนำเหน๋อ(นำเสนอ)สัมมนา
ไปแล้ว 2 รอบ..สิ่งหนึ่งที่กลุ่มโปรแกรมจะได้ยินเสมอจากอาจารย์
คือ..พวกคุณกำลัง "ฝัน"

แล้วรู้ไหมว่าความจริงกับความฝันมันต่างกันตรงไหน??

หลายๆคนบอกกับเราว่ามันต่างกันที่การลงมือทำ
แต่สำหรับการสร้างฝันขึ้นมาให้เป็นจริงได้นั้น
การลงมือทำอย่างเดียวคงไม่พอแต่เราต้อง “อึด” ด้วยค่ะ....

ธอมัส อัลวา เอดิสัน นักประดิษฐ์อัจฉริยะคนหนึ่งของโลก
เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า
“ Genius is 1 % inspiration and 99% perspiration”
ก็ประมาณว่า อัจฉริยภาพคือหนึ่งเปอร์เซ็นต์ของแรงบันดาลใจ
และอีกเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ตกเป็นของการงานอย่างหนักหน่วง

เพราะอุปสรรรคเกิดขึ้นเสมอค่ะ
และคนที่ชนะคือคนที่อดทนกับมันได้

งานยิ่งยากผลสำเร็จยิ่งน่าภาคภูมิใจ(ท่องไว้เพื่อนๆ..55+)
มีเรื่องขำขำอยู่เรื่องหนึ่ง คือชายคนหนึ่งตั้งใจว่ายน้ำข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา
แต่เมื่อเขาว่ายไปถึงกลางแม่น้ำ เขาเกิดเหนื่อยและท้อขั้นมากลางคัน
เลยว่ายน้ำกลับมาที่เดิมซะอย่างนั้น

หลายคนไปไม่ถึงฝันไม่ใช่เพราะเขาด้อยกว่าคนอื่นหรอกค่ะ
เพียงแต่เขาทิ้งความอึดไว้กลางทางต่างหาก


แด่กำลังใจในวิชาสัมนา....


(ปล.เราไม่แน่ใจว่าบทความนี้เราเคยเอามาลงหรือยังเราเขียนไว้นานแล้วอ่ะแต่เห็นว่าไฟล์มันถูกเซฟไว้ผิดที่ผิดทาง ถ้าเคยอ่านแล้วก็ขออภัยด้วยนะเจ้าค่ะ..^^)