___นักวิเคราะห์ระบบจะต้องคำนึงถึงความต้องการ (NEEDS) ของผู้ใช้ระบบเป็นสำคัญ โดยต้องยึดหลักเกณฑ์ของการวิเคราะห์และพัฒนาระบบงาน
___มีนักวิเคราะห์ระบบมากมายที่ได้ดีไซน์ระบบมา โดยลืมจุดสำคัญของผู้ใช้ระบบ ทำให้ระบบที่ได้ดีไซต์ไว้ไม่ได้ตอบสนองกับความต้องการของผู้ใช้ระบบ และในที่สุดก็ยังผลให้ระบบที่ได้วางไว้นั้นไม่สามารถนำมาใช้ได้จริง ซึ่งทำให้ต้องเสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายในการพัฒนาระบบอย่างมาก
___การที่ระบบงานนั้นไม่ได้ตอบสนองกับความต้องการผู้ใช้ระบบ สาเหตุหนึ่งอาจจะมาจากนักวิเคราะห์ระบบ แม้ว่าจะไม่ลืมความสำคัญของผู้ใช้ระบบ แต่ลืมที่จะครอบคลุมถึงความเห็นของผู้ใช้ระบบ ทุกคนที่เกี่ยวข้องก็จะทำให้ระบบงานที่ตนได้ดีไซน์ไว้ไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการทั้งหมด เช่น ระบบงานข้อมูลทางการตลาด อาจมีผู้ใช้ระบบตั้งแต่พนักงานรับใบสั่งซื้อ ไปจนถึงระดับผู้บริหารต้องการของทุกคนที่เกี่ยวข้องกับระบบ มิใช่จะเอาใจเฉพาะผู้บริหาร
___ระบบงานข้อมูลที่นักวิเคราะห์ระบบวางดีไซน์ขึ้น จะมีคุณค่าเท่าใดนั้น มิใช่นักวิเคราะห์ระบบเองจะเป็นคนตัดสิน เพราะนักวิเคราะห์ระบบเป็นเพียงผู้สร้างมัน แต่ผู้ใช้ระบบต่างหากเป็นผู้ที่รู้ถึงหลักการที่ว่าระบบงานนั้นได้ตอบสนองความต้องการของพวกเขาได้มากน้อยเพียงใด
วันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2551
บทบาทสำคัญของผู้ใช้ระบบที่มีต่อนักวิเคราะห์ระบบ
วันพฤหัสบดีที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2551
การวิเคราะห์ระบบ กับ การออกแบบระบบ
สวัสดีจ้า .... เพื่อนทุกคน
วันนี้เรานำความหมายและความแตกต่างของคำ 2 คำ มาเล่าสู่กันฟังนะ เพื่อความเข้าใจยิ่งขึ้นนะ
การวิเคราะห์ระบบ (System Analysis) เป็นการสำรวจ แจกแจงและวิเคราะห์ปัญหา เพื่อนำข้อมูลต่างๆ เหล่านั้นมากำหนดวัตถุประสงค์เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวได้ ลำดับต่อมาวิเคราะห์และกำหนดภาระหน้าที่ต่างๆ ให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ และวิเคราะห์งานที่ต้องปฏิบัติให้เหมาะสมกับหน้าที่
การออกแบบระบบ (System Design) เป็นการนำเอาความต้องการของระบบมาเป็นแบบแผนในการสร้างระบบงานให้สามารถได้จริง เพื่อให้สามารถใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เข้ามาทำงานและควบคุมการทำงานตามขั้นตอนต่างๆ ให้ได้ผลลัพธ์ที่สมบูรณ์ ตามความต้องการ
ซึ่งการออกแบบนั้นแบ่งออกเป็น 2 ชนิด
1. Logical Design ได้แก่ การออกแบบ Input , Output , แฟ้มข้อมูล
2. Physical Design ได้แก่ การออกแบบอุปกรณ์ที่ใช้เป็น Input , Output , สถานที่ , บุคลากร เป็นต้น
ทฤษฎีระบบ (Systemic Theory)
ทฤษฎีระบบ หรือการคิดอย่างกระบวนระบบ ( Systemic Thinking)นั้น เป็นการมองโลกอย่างเป็นองค์รวม เป็นพื้นฐานของทั้ง 3 ทฤษฎี มีคุณสมบัติที่สำคัญ 5 ประการคือ
1. ระบบใหญ่ไม่ใช่ผลรวมของส่วนประกอบย่อย แต่เป็นคุณภาพใหม่ที่เกิดจากปฏิสัมพันธ์ขององค์ประกอบย่อย ซึ่งไม่สามารถเข้าใจจากการแยกศึกษาทีละส่วนประกอบได้
2. ระบบมีโครงสร้างที่ซ้อนกันอยู่เป็นชั้นๆ ( Hierarchy ) เช่น คนประกอบด้วยส่วนย่อยคือเซลที่รวมกันเป็นระบบ แต่คนก็เป็นองค์ประกอบย่อยของระบบนิเวศน์ ระบบซับซ้อนจะซ้อนกันเป็นชั้น และทุกอย่างสามารถเชื่อมโยงถึงกันทั้งหมด ท่าน ติช นัท ฮัน จึงตอบว่า กระดาษหนึ่งแผ่นที่ให้ดูนั้น มองเห็นดวงอาทิตย์และก้อนเมฆในกระดาษนั้นด้วย
3. การจะเข้าใจระบบนั้นต้องมองบริบท(Context)หรือปัจจัยแวดล้อมโดยรอบด้วย โดยเฉพาะระบบเปิดที่มีชีวิตนั้น ไม่อาจมองเป็นเส้นตรงได้ ต้องมองอย่างเชื่อมโยงและสัมพันธ์กันทั้งหมด
4. ต้องเข้าใจความสัมพันธ์และปฏิสัมพันธ์ ( Feedback ) การจะเข้าใจปรากฏการณ์ใดต้องเข้าใจถึงความสัมพันธ์ของปัจจัยต่างๆที่เข้ามาเกี่ยวข้อง
5. การย้ายวิธีคิดแบบโครงสร้าง ( Structure) มาสู่กระบวนการ ( Process) ถ้าประยุกต์ใช้ในเชิงสังคม การมองแบบโครงสร้างเราจะเห็นกรอบอันเข้มแข็งยากจะเปลี่ยนแปลง แต่ถ้าหันมามองกระบวนการ เราจะเห็นจุดอ่อน ช่องทางของความสัมพันธ์ที่จะเข้าไปปรับเปลี่ยนได้
จาก อาจารย์ชัยวัฒน์ ถิระพันธุ์ บางกอกฟอรั่ม
หน้าที่หลัก ๆ ของ SA
- เกี่ยวกับผู้ใช้งานภายในระบบ ผู้ใช้งานทุกคนในระบบจะสามารถเข้าใช้งานระบบได้ จะต้องได้รับความเห็นชอบหรือผ่านการพิจารณาของ SA เสียก่อนว่าสมควรหรือไม่ ดังนั้นหน้าที่หลักอย่างหนึ่งของ SA ก็คือ การกำหนดชื่อและรหัสผ่านเริ่มต้นให้กับผู้ใช้ใหม่ พร้อมทั้งกำหนดความสามารถในการใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ของผู้ใช้ด้วย ในทางตรงข้ามกันก็ต้องลบหรือปลดผู้ใช้ออกจากระบบ อีกทั้งจะต้องให้คำปรึกษาและไขข้อข้องใจของผู้ใช้งานด้วย
- การติดตั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์เข้าสู่ระบบ จุดเด่นของโอเอสแบบมัลติทาสกิง คือการนำทรัพยากรต่าง ๆ ที่มีอยู่มาใช้ร่วมกัน และทรัพยากรที่จะใช้นั้นจะแปรผันกับจำนวนผู้ใช้งาน และความแตกต่างของลักษณะงานนั้น ๆ ด้วย การติดตั้งทรัพยากรต่าง ๆ จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน SA จะต้องเป็นผู้ติดตั้งหรือควบคุมการติดตั้งอีกที ไม่ว่าจะเป็นซอฟต์แวร์ใหม่ หรือส่วนฮาร์ดแวร์ที่เพิ่มเติมจากเดิม
- การสำรองข้อมูล เป็นการเก็บข้อมูลสำรองไว้เพื่อใช้ทดแทนข้อมูลบนระบบ ในกรณีที่ข้อมูลบนระบบเกิดความเสียหายขึ้น การสำรองข้อมูลถ้ามีการทำบ่อยหรือถี่เท่าไร ข้อมูลที่สำรองกับข้อมูลจริงบนระบบก็มีความใกล้เคียงกันมากกว่านั้น แต่ในการสำรองข้อมูลนั้นจะสูญเสียประสิทธิภาพของระบบไปส่วนหนึ่ง และต้องใช้เวลาพอสมควรจึงเป็นหน้าที่ของ SA ในการตัดสินใจว่าจะมีการสำรองข้อมูลใหม่ให้มีความถี่เท่าไหร่ และกระทำในช่วงเวลาไหน แล้วต้องสำรองไฟล์อะไรบ้าง
- วิเคราะห์และแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในระบบทั้งซอฟต์แวร์ และฮาร์ดแวร์ - ดูแลรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและระบบ
แจกไฟล์จากอาจารย์ (ของฟรีมีในโลก อิอิ)
ได้ข่าวว่าพี่น้องหลายคนยังไม่มีไฟล์ที่อาจารย์จงดีให้ไว้ตั้งแต่คาบแรกที่เรียน
ซึ่งข้าพเจ้าก็พยายามแนบไฟล์ลงไปกะอีเมลล์แล้ว แต่ขนาดไฟล์มันก็ใหญ่เกิ๊นนน ส่งไม่ได้ >_<
เพราะฉะนั้น เลยเอาไฟล์ไปฝากไว้แทนละกัน ตามลิงค์ไปโหลดกันเอาเองนะ (เกิดมาเพิ่งเคยฝากไฟล์นี่แหละ ไม่รู้จาโอเคป่าวนะ)
ตามนี้จ้า -------->
http://www.esnips.com/doc/a0fc2040-2636-4b9c-990f-68268b563c85/KMITL_1_2551Jongdee
ถ้าไม่ได้ ลองนี่ -------->
http://www.esnips.com/doc/a0fc2040-2636-4b9c-990f-68268b563c85/KMITL_1_2551Jongdee
ถ้าไม่ได้อีก ลองนี่ ได้แน่ๆๆๆๆ -------->
http://www.esnips.com/nsdoc/a0fc2040-2636-4b9c-990f-68268b563c85/?action=forceDL
ซึ่งในไฟล์ประกอบด้วย
1. ไฟล์ Power Point (เนื้อหาที่เรียน)
2. ไฟล์ pdf (เนื้อหาที่เรียน)
3. Course Outline
4. ไฟล์เกี่ยวกับงานกลุ่ม
4.1 ไฟล์ Word - รายละเอียดของงานกลุ่มที่ต้องทำส่งเสาร์นี้
4.2 ไฟล์ Word - รายละเอียดของงานกลุ่มโดยรวม
4.3 ไฟล์ Excel - แบบฟอร์มใบต่างๆ ที่ต้องใช้ในการทำงานส่งเสาร์นี้ (เปิดดูก็จะรู้เอง ไม่รู้จะบรรยายว่าไง)
ปล. วชัญษายังคิดไม่ออกว่าจะอัพเนื้อหาอะไรใส่ลงใน Blog ดี >_< (ได้แต่ comment ของชาวบ้านไปเรื่อย)
ใครบ้างสมควรเป็น SA
1. เป็นผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจถึงการทำงานของระบบ ไม่ว่าจะเป็นส่วนของโอเอสเอง, ซอฟต์แวร์, ฮาร์ดแวร์ และต้องสามารถวิเคราะห์พร้อมกับแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
2. มีความรอบคอบละเอียดอ่อน เพราะหาก SA กระทำสิ่งใดก็ตามผิดพลาดบางครั้งจะมีผลต่อระบบโดยรวม
3. เป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบสูง และเป็นผู้เก็บความลับได้ดี
4. เป็นผู้ที่มีคุณธรรมประจำใจ SA สามารถเข้าไปมีส่วนรับรู้และแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลทุกอย่างในระบบได้ไม่ว่าข้อมูลนั้นจะเป็นของใครก็ตาม ดังนั้นคุณธรรมจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ SA ทุกคนต้องมี (SA ต้องเป็นคนดีครับ)
5. เป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติตามข้อ 1-4
วันพุธที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2551
SA ตอน..Life Analysis
ประโยคทิ้งท้ายของบทความ
เรื่องความแตกต่างระหว่างโปรแกรมเมอร์กับนักวิเคราะห์ระบบ
ทำให้ฉันเกิดคำถามขึ้นกับตัวเองอีกครั้ง...แล้วฉันอยากเป็นใคร??
ขณะที่ฉันจับจ้องกับการหาคำตอบให้ตัวเอง มือข้างขวาคลิกเมาท์ไปมา
ใจลอยๆ กดเปิดบทเรียนจาก Microsoft PowerPoint
“ บทที่ 4 การวิเคราะห์ระบบ...การวิเคราะห์ระบบ เป็นเทคนิคการแก้ปัญหาแบบหนึ่ง โดยการแยกย่อย ระบบออกเป็นส่วนประกอบต่างๆ เพื่อให้ง่ายต่อการศึกษาดูว่าส่วนประกอบเหล่านั้นทำงานและประสานงานกันอย่างไร ในการที่จะบรรลุเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ ”
ถ้าจะพูดถึงการวิเคราะห์ระบบ ตามหลักแล้วเราต้องเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของระบบ ที่เราต้องการศึกษา เพื่อความรู้เชิงลึกและการเข้าใจอย่างถ่องแท้ เพราะการสังเกตอยู่ห่างๆ ก็ย่อมไม่ต่างจากการนั่งอยู่ข้างสระว่ายน้ำ แล้วพยายามศึกษาการว่ายน้ำให้เป็น
อีกทั้งระบบยังคงต้องเจอผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมภายนอก
ที่คอยเป็นตัวบั่นทอนให้ระบบต้องทำงานไขว้เขว
เช่นเดียวกันสภาพของคนปัจจุบันที่มักปล่อยให้สิ่งแวดล้อม
เข้ามารบกวนการวิเคราะห์ระบบชีวิตของตัวเอง
จนหลงลืมไปว่า แท้ที่จริงแล้วชีวิตต้องการอะไรกันแน่
โหน่ง วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์ ผู้ก่อตั้งนิตยสาร a day
ตกงานหลังจากเรียนจบอยู่หลายเดือน
เหตุเพราะปล่อยให้สิ่งแวดล้อมเข้ามาบงการระบบชิวีตของตัวเองมากเกินไป
จนวันหนึ่งที่เขาหันกลับมาวิเคราะห์ตัวเอง ด้วยกระดาษA4 1ใบ
ข้างซ้ายเขียนสิ่งที่ตัวเองชอบและอยากทำ
ข้างขวาเขียนสิ่งที่ไม่ชอบและไม่อยากทำออกมาเป็นข้อๆ
หลังจากนั้นจับเอาทุกความชอบส่วนตัวมาประสานเข้าด้วยกัน
พร้อมทั้งเขียนรายการอาชีพที่สอดคล้องกับข้อมูลเหล่านั้น
และให้คะแนนช่วยเป็นตัวตัดสิน สุดท้ายได้ข้อสรุปว่าเขาอยากทำงานด้านหนังสือ
โหน่ง วงศ์ทนง ได้รับการตอบรับทันที
ที่ส่งใบสมัครงานไปให้กับบริษัทแม็กกาซีนแห่งหนึ่ง
ทุกวันนี้เขายังคงรักการทำหนังสือ...
มือขวาคลิกเมาท์ไปมา กดปิดบทเรียน เอื้อมหยิบกระดาษ
แบ่งออกเป็น 2ส่วน ข้างซ้ายเขียนสิ่งที่ฉันชอบและอยากทำ
ข้างขวาเขียนสิ่งที่ฉันไม่ชอบและไม่อยากทำ
.....
.....
.....
ฉันว่าฉันเจอคำตอบที่หาแล้ว