เป็นบทความที่ยกมาให้อ่านดูนะครับ อาจจะยาวหน่อย นะ
ผมมาเก็บตกปัญหาที่ผมว่าหลายคนค้างคาใจเรื่อง วิชาบังคับ ดีกว่า ในเมื่อมันเป็นวิชาบังคับ แล้วจะมองว่าตัวเองมีวิชาบังคับอะไรบ้าง... ผมว่าเพื่อนๆหลายคนคงอยากรู้ว่า การหาว่า หัวใจของธุรกิจ ของเพื่อนๆ หาได้อย่างไร..
ผมแนะให้มองเรื่องที่สอนในคอมพิวเตอร์เบื้องต้น เกี่ยวกับ
Input => Process => Output
อันนี้เป็นหลักคิดง่ายๆในการหาหัวใจของธุรกิจ ของคุณ โดยการเปรียบเที่ยบธุรกิจของคุณให้อยู่ในตำแหน่งของ Process คุณจะพบว่า อะไรที่คุณจะต้องนำเข้ามาเพื่อทำให้เป็นผลลัพธ์ นั่นเป็นสิ่งที่คุณต้องใส่ใจ อะไรคือผลลัพธ์ที่จะทำให้ลูกค้าพอใจ นั่นคือสิ่งที่คุณต้องใส่ใจ และ นอกเหนือจากทั้งสองสิ่ง คุณทำอะไรกับ Input เพื่อให้ได้ Output นั่นก็เป็นสิ่งที่ควรใส่ใจ ไม่ว่า หัวใจของธุรกิจในสาขาใด ก็จะใช้ โมเดลนี้เป็นพื้นฐานในการหาได้ทั้งสิ้น...
พูดง่ายแต่อาจจะไม่เข้าใจครับ ผมจะขอยกตัวอย่างเกี่ยวกับธุรกิจบางธุรกิจให้ดูนะครับว่า เขามองถึง หัวใจของธุรกิจของเขาแตกมากน้อยเพียงใด
อย่างธุรกิจบริษัทฯจัดหางานซึ่งมีเวปไซด์เป็นตัวสื่อกลาง ธุรกิจนี้ ต้องการสนองความต้องการของลูกค้าที่ต้องการบุคลากรที่เหมาะกับงาน และ กำหนดช่วงเงินเดือนที่สามารถยอมรับ ในขณะเดียวกัน คนหางานก็อยากจะได้งานที่เหมาะกับตนเอง และ ต้องการรายได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อรุ้ว่า สิ่งที่เป็น Input นั้น คือคนที่หางานทำต้องการอะไร เมื่อรู้ว่า สิ่งที่เป็น Output คือบริษัทฯที่ต้องการพนักงาน มีความต้องการอะไร และ ข้อจำกัดอะไร บริษัทฯ จัดหางาน เลยตั้งสโลแกนการทำงานของเขาว่า "หาคนให้เหมาะกับงาน หางานให้เหมาะกับคน" นี่เป็นสโลแกนที่ผมเห็นหลังเสื้อยืด แล้วมองภาพออกเลยว่า นี่เป็นสิ่งที่เขาต้องทำ เพื่อให้เขาประสบความสำเร็จ เป็นหัวใจของธุรกิจของเขา เขาไม่ได้เน้นเวปที่สวยหรู เขาไม่ได้เน้นการลงสมัครงานฟรีให้กับนักศีกษาจบใหม่ แต่เขามุ่งมั่นที่จะจัดสรรให้คนหางาน และ บริษัทฯได้รับในสิ่งที่เขาอยากได้ นั่นเป็นหัวใจของธุรกิจที่เขาต้องทำ แต่สิ่งอื่นๆนั้น เป็นเพียงองค์ประกอบที่ต้องมี ต้องสร้าง เพื่อให้สามารถหาคนได้มากขึ้น เพื่อรองรับกับลูกค้าได้มากขึ้น แต่ถามว่า เขาต้องเน้นในเรื่องเหล่านี้ไม๊ ก็คงต้องเน้นเป็นบางโอกาส เพื่อให้มันเหมาะกับเป้าหมายที่เขาตั้งไว้เท่านั้น...
หรืออย่างธุรกิจที่ปรึกษาทางด้านธุรกิจ ถ้าคุณเป็นที่ปรึกษา ดังนั้น Input ของคุณคือปัญหาของธุรกิจนั้นๆ ถ้าไม่มีปัญหาที่เขาแก้ไขเองอาจจะไม่ดีเขาก็คงไม่จ้างที่ปรึกษา เมื่อคุณรู้ว่า ปัญหาคือสิ่งที่คุณต้องนำเข้ามา กระบวนการ Process คือกระบวนการแก้ปัญหาสิ่งเหล่านั้น ซึ่งต้องใช้องค์ประกอบของความรู้ ความสามารถ ทฤษฎีที่สามารถนำมาปฏิบัติได้จริง เพื่อให้ได้ Output คือ กระบวนการทำงานที่มีประสิทธิภาพและสามารถสร้างประสิทธิผลในการทำงานนั้นๆ ดังนั้น เมื่อเอาสิ่งต่างๆมารวมเข้าด้วยกัน คุณจะพบว่า บริษัทฯที่ปรึกษาบางบริษัทฯเน้นเรื่อง Input ก็จะโดนแต่ปัญหามารุมเร้า เพราะ ลูกค้าจะมองว่าคุณแก้ปัญหาเก่ง ก็จะเอาแต่ปัญหามาให้คุณแก้ ถ้าเขาเน้นเรื่องความสามารถของการประมวลผล นั่นหมายถึง เขามองว่าเขาเก่งกาจฉลาดเป็นเลิศ ในเมื่อมองว่าตนเองเก่งแล้ว คนอื่นก็ต้องด้อยไปเสียหมด บริษัทฯที่จะจ้างให้คุณทำคือบริษัทฯที่อาจจะด้อยกว่าคุณ และมองว่า การที่คุณเก่ง คุณก็จะต้องคิดแพงเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งมันก็มีทั้งจุดดีจุดเสีย อีกอย่าง คนเก่งมันหยิ่ง และไม่มีใครอยากขอความร่วมมือจากคนที่หยิ่งเสียด้วยสิ... บางบริษัทฯ เน้นทางด้าน Output ก็จะชอบทางด้านการวางระบบ จัดการโน่นนี่ให้ เพื่อให้เขามีสิ่งที่เขาต้องการ บริษัทฯเหล่านี้จะได้งานที่ผสมได้สัดส่วนมากที่สุด... คราวนี้ก็ขึ้นกับบริษัทฯว่าเก่งกาจทางด้านไหน ก็จะเลือกผสมสูตรสำเร็จของธุรกิจกันไป...
หรือถ้ามองทางด้านความเป็นครู เป็นอาจารย์ Input มี 2 อย่างคือ เด็กที่ไม่มีความรู้ในเรื่องนั้นๆ กับ ความรู้ที่จะต้องสั่งสอง การ Process เป็นกระบวนการที่จะทำให้เด็กสามารถรับรู้สิ่งที่จะสอนได้ ต้องให้เขาเข้าใจ หรือ จดจำ ก็ขึ้นกับวิชาที่จะสอน ขึ้นกับองค์ประกอบของสิ่งแวดล้อม วิธีการสอนก็จะต้องขึ้นกับผู้สอนว่า ถนัดหรือมีมุมมองในการสอนมากน้อยเพียงใด เพื่อทำให้เกิด Output คือ เด็กที่มีความคิดความอ่าน มีคุณภาพ และ มีวิชาที่เรียนไป สามารถนำวิชาเหล่านั้นไปประยุกต์ใช้งานในหลากหลายสถานการณ์ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เราจึงเห็นสังคมไทย มีการศึกษาที่กระท่อนกระแท่น ขาดๆเกินๆ อันเนื่องจาก เรามุ่งเน้นเป็นด้านๆ บางช่วงเวลาเราเน้นเรื่องวิชาการมากเกินไป บางเวลาเรามุ่งเน้นเรื่องเด็กมากเกินไป บางช่วงก็เน้นเรื่องการเรียนการสอนมากเกินไป แต่เราไม่ค่อนเน้นเรื่องให้เด็กมีความคิด ฉลาด และ ประยุกต์สิ่งที่เรียนมาใช้กับงาน หรือ สถานการณ์จริงเสียเท่าไหร่ เพราะ การจะสอนให้เด็กสามารถทำเช่นนี้ได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถ้าเน้นในส่วน Input กับ Process สามารถจัดการได้ง่ายมากกว่า ซึ่งผมคิดว่า กระบวนการศึกษาของไทย คงต้องหันมาดูที่ Output ที่เราผลิตขึ้นมาว่า ดีขึ้นมากน้อยเพียงใดด้วยคัรบ...
นี่ก็แค่ยกตัวอย่างให้เห็นถึง กระบวนการคิดง่ายๆ ที่สามารถมองธุรกิจต่างๆให้เห็น องค์ประกอบของความสำเร็จได้ อยากให้ชี้ที่ธุรกิจใด วันหลังจะมีชี้ให้เห็นวิธีคิดครับว่า สามารถประยุกต์แนวความคิดง่ายๆนี้ เพื่อแจกแจงหัวใจของธุรกิจของเพื่อนๆได้อย่างไร...
ยกเครดิตให้คุณ WBJ ครับผม
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
7 ความคิดเห็น:
ขออ้าง "ถ้ามองทางด้านความเป็นครู เป็นอาจารย์"
แหม ลึกซึ้งมาก ลึกซึ้งมาก .....
หากการวิจารณ์นี้เขียนจากความคิดของตนเอง ครูขอคารวะในเรื่องของกระบวนการคิดและการออกความคิดเห็นค้า
อืม...อ่านแล้วนึกภาพออก
เหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างต้องมี
Input => Process => Output
แล้วชีวิตคนเราปกติ ต้องมี 3 อย่างนี้เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยมั้ย (คงมีแหละมั้งเน้อะ ^^)
ยาวว่ะ ขี้เกียจอ่านนนนนนนนนนนน
ออว อ่านและ เข้าใจ ๆๆๆ.....
อืม..........
ออวววววว.....
อย่าง การจีบ หญิง นี่ ยังไงดีหว่าาาา
Input = สาวๆ ที่ปิ๊ง
Process = สร้างภาพ ทำตัวดี เอาอกเอาใจ
Output = ได้เดินควง Input
รึป่าววว 555+
เป็นความความคิดเห็นที่ดี ทำใหเรามองกระบวนการทำงานให้ดูง่ายลง และตรงจุดเป้าหมายในการทำงานนั้นๆ แต่มันจะมีสิ่งแวดล้อมภายนอกอีกตัวหนึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้output เป็นไปตามที่ตั้งเป้าหรือไม่ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้
ยาวดีเนอะ แต่พยายามจาอ่านนะ เพราะมีคนโพสเยอะดี อ่านแล้วรู้สึกว่าตัวเองมองเห็นภาพเลย ขอบคุณครับ
แสดงความคิดเห็น